นายกฤษฎ์เลิศ สัมพันธารักษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ เปิดเผยผลการวิจัยข้อมูลผู้ถือหุ้นของบริษัทในประเทศไทยกว่า 3.3 ล้านรายการ ครอบคลุมธุรกิจที่จดทะเบียนกว่า 8.8 แสนราย พบว่ากลุ่มทุนส่วนมากประกอบด้วยบริษัทเพียง 2-3 บริษัท มีเพียง 13 กลุ่มทุนเท่านั้น ที่มีบริษัทในกลุ่มมากกว่า 100 บริษัท สำหรับประเทศไทย อุตสาหกรรมที่กลุ่มทุนมีผลต่อการกระจุกตัวสูงสุด ได้แก่ การผลิตสุรา การผลิตเบียร์ และการค้าส่งเครื่องดื่ม
นอกจากนี้ จากการกระจุกตัวของความเป็นเจ้าของ มีความสัมพันธ์ต่อการกระจุกตัวของการผลิต ซึ่งการลดความเหลื่อมล้ำในภาคธุรกิจ โดยนโยบายภาษีเงินได้นิติบุคคล อาจเกิดผลกระทบทางลบต่อการจ้างงานและธุรกิจรายย่อยที่ต้องพึ่งพิงธุรกิจรายใหญ่ นโยบายที่เหมาะสมจึงควรเป็นการส่งเสริมการแข่งขัน เพื่อลดกำไรจากการผูกขาดไม่กี่ราย และเพิ่มการกระจายกำไรไปสู่ผู้ผลิตจำนวนหลายรายมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ นโยบายส่งเสริมผู้เล่นรายใหม่ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ต้องคำนึงถึงมิติด้านความเป็นเจ้าของด้วย โดยต้องส่งเสริมธุรกิจที่มีเจ้าของเป็นรายใหม่ที่แท้จริง ไม่ใช่ธุรกิจรายใหม่ที่มีเจ้าของรายเดิม
สำหรับรายละเอียดของการวิจัยนั้น ผู้วิจัยพบว่า รายการการถือครองหุ้นโดยตรงในสัดส่วนที่น้อยกว่า 1% ของจำนวนหุ้นในแต่ละบริษัทมีจำนวนมากที่สุด รองลงมาเป็นการถือหุ้นระหว่าง 49-50% และการถือหุ้นมากกว่า 99% ตามลำดับ ซึ่งรายการการถือหุ้นต่ำกว่า 1% หรือสูงกว่า 99% ที่มีจำนวนมากนั้น เป็นการสะท้อนถึงข้อบังคับของการกำหนดจำนวนผู้ถือหุ้นขั้นต่ำของบริษัทจดทะเบียนที่ยังมีผลบังคับใช้ในปี 2560 ส่วนรายการการถือหุ้นในสัดส่วน 49-50% มีจำนวนค่อนข้างสูง สะท้อนถึงข้อจำกัดทางกฎหมายของการถือครองหุ้นในบางธุรกิจ หรือการประกอบการธุรกิจร่วมทุนที่ฝ่ายหนึ่งต้องการถือหุ้นเกินกึ่งหนึ่ง เพื่อควบคุมการดำเนินกิจการของบริษัท
เมื่อนักวิจัยได้วิเคราะห์เครือข่ายการถือหุ้นระหว่างบริษัทในภาคธุรกิจไทย โดยนิยามว่าบริษัทสองแห่งมีความสัมพันธ์ผ่านการถือหุ้นเมื่อบริษัทหนึ่งถือหุ้นโดยตรงในอีกบริษัทหนึ่งอย่างน้อย 20% ผลการวิเคราะห์พบว่าภาคธุรกิจไทยมีกลุ่มทุนจำนวน 9,068 กลุ่ม โดยกลุ่มทุนมีความหลากหลายทั้งในมิติของจำนวนบริษัทในกลุ่ม มูลค่าสินทรัพย์ และประเภทของอุตสาหกรรม โดยกลุ่มทุนส่วนมากประกอบด้วยบริษัทเพียง 2-3 บริษัท มีเพียง 13 กลุ่มทุนเท่านั้น ที่มีบริษัทในกลุ่มมากกว่า 100 บริษัท
นายกฤษฎ์เลิศ กล่าวว่า ในทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์นั้น การที่บริษัทแต่ละบริษัทในกลุ่มทุนมีสถานะเป็นนิติบุคคลโดยตัวเองแทนที่จะเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทใหญ่บริษัทเดียวมีข้อดีหลายประการต่อการทำธุรกิจ
ประการแรก การจดทะเบียนธุรกิจแยกเป็นหลายบริษัท ทำให้โครงสร้างการถือหุ้นของแต่ละบริษัทมีความยืดหยุ่น ทำให้กลุ่มธุรกิจสามารถระดมทุนจากผู้ถือหุ้นรายย่อยอื่น ๆ ที่มีความสนใจและมีความต้องการที่หลากหลายให้เข้ามาร่วมทุนในแต่ละบริษัทที่ดำเนินธุรกิจต่าง ๆ กันได้ตามความต้องการของผู้เข้ามาร่วมลงทุน ในขณะเดียวกัน กลุ่มทุนก็ยังสามารถควบคุมการบริหารงานของธุรกิจได้อยู่ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่
ประการที่สอง การระดมทุนจากผู้ถือหุ้นภายนอกกลุ่ม ยังรวมถึงการทำธุรกิจร่วมทุน (joint venture) กับพันธมิตรจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งทำให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีการผลิตและขยายตลาดสินค้าใหม่ๆ ที่ตนยังไม่มีความชำนาญได้มากขึ้น
ประการที่สาม การแบ่งธุรกิจออกเป็นบริษัทย่อย ยังอาจช่วยเพิ่มกำไรให้กลุ่มธุรกิจโดยรวม ในกรณีที่รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมวิสาหกิจขนาดเล็ก เช่น การเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำกว่าบริษัทขนาดใหญ่
ประการสุดท้าย บริษัทแต่ละบริษัทเป็นนิติบุคคลที่มีขอบเขตความรับผิดชอบต่อหนี้สินที่จำกัด (limited liability) ในกรณีที่บริษัทใดบริษัทหนึ่งประสบปัญหาทางการเงินและล้มละลาย พันธะผูกพันต่อหนี้สินจึงไม่ส่งต่อไปยังผู้ถือหุ้นและบริษัทอื่น ๆ ในกลุ่ม
พร้อมกันนี้ ยังเห็นว่าโครงสร้างความเป็นเจ้าของในภาคธุรกิจที่กลุ่มทุนมีบทบาทสูง มีนัยต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมหลายประการ
ประการที่หนึ่ง คือ นัยต่อการวัดการกระจุกตัวของภาคธุรกิจ ซึ่งการที่บริษัทหลายแห่งมีเจ้าของร่วมกัน และมีการตัดสินใจทางธุรกิจร่วมกันนั้น ทำให้การวัดการกระจุกตัวของอุตสาหกรรม ต้องพิจารณาความเป็นเจ้าของร่วมกันของบริษัทต่าง ๆ ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมที่มีบริษัทหลายรายในกลุ่มทุนเดียวกันประกอบกิจการนั้น ๆ สำหรับประเทศไทย อุตสาหกรรมที่กลุ่มทุนมีผลต่อการกระจุกตัวสูงสุด ได้แก่ การผลิตสุรา การผลิตเบียร์ การค้าส่งเครื่องดื่ม
ประการที่สอง คือ นัยต่อการวัดการกระจายตัวของรายได้และสินทรัพย์ธุรกิจของครัวเรือน เนื่องจากการถือครองหุ้นในบริษัทเป็นการถือครองสินทรัพย์ธุรกิจ (corporate wealth) ประเภทหนึ่งของครัวเรือน และในทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ ผลกำไรของบริษัทซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ดังกล่าวอาจนับได้ว่าเป็นรายได้ส่วนหนึ่งของครัวเรือน ถึงแม้ว่ากำไรดังกล่าวอาจจะยังมิได้ถูกแจกจ่ายเป็นเงินปันผลให้ครัวเรือนก็ตาม ซึ่งผลการศึกษาพบว่าในปี 2560 ผู้ถือหุ้น 500 คนมีสัดส่วน 30% ในกำไรรวมของภาคธุรกิจไทย โดยสัดส่วนนี้คิดเป็นกำไรเฉลี่ย 3,098 ล้านบาทต่อคน นอกจากนี้มูลค่ารวม (ทางบัญชี) ของส่วนผู้ถือหุ้น (total equities) สูงสุด 500 คน มีสัดส่วนถึง 36% ของภาคธุรกิจทั้งหมด
"การกระจุกตัวในมิติของความเป็นเจ้าของที่สูง มีนัยต่อความเหลื่อมล้ำของความมั่งคั่ง และรายได้ของครัวเรือน แต่เนื่องจากความเหลื่อมล้ำในมิตินี้ เกิดจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าของสินทรัพย์ที่ยังไม่ได้แจกจ่ายให้ครัวเรือน การลดความเหลื่อมล้ำในมิตินี้จึงต้องเป็นการลดความเหลื่อมล้ำในภาคธุรกิจ ซึ่งไม่สามารถทำได้โดยนโยบายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือเงินช่วยเหลือที่ให้แก่ครัวเรือน" นายกฤษฎ์เลิศกล่าว
พร้อมระบุว่า แต่เนื่องจากการกระจุกตัวของความเป็นเจ้าของ มีความสัมพันธ์ต่อการกระจุกตัวของการผลิต การลดความเหลื่อมล้ำในภาคธุรกิจโดยนโยบายภาษีเงินได้นิติบุคคล อาจก่อให้เกิดผลกระทบทางลบต่อการจ้างงาน และธุรกิจรายย่อยที่ต้องพึ่งพิงธุรกิจรายใหญ่ นโยบายที่เหมาะสมจึงควรเป็นการส่งเสริมการแข่งขันเพื่อลดกำไรอันเกิดจากการผูกขาด และเพิ่มการกระจายกำไรไปสู่ผู้ผลิตมากรายยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ นโยบายส่งเสริมผู้เล่นรายใหม่ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ต้องคำนึงถึงมิติด้านความเป็นเจ้าของด้วย โดยหลีกเลี่ยงการส่งเสริมธุรกิจรายใหม่ที่มีเจ้าของร่วมกับธุรกิจรายเดิม