นายพิศิษฐ์ บุญจรรยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีโอเอ-ชูโกกุ เพ้นท์ จำกัด ในกลุ่มบริษัท ทีโอเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทรุกขยายฐานการผลิตกลุ่มสีอุตสาหกรรมเข้าไปในประเทศเมียนมา โดยได้ลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตสีอุตสาหกรรมใกล้กับนครย่างกุ้ง กำลังการผลิต 500 ตัน/เดือน ใช้งบลงทุนราว 300 ล้านบาท
โรงงานดังกล่าวเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท ทีโอเอ-ชูโกกุ เพ้นท์ จำกัด และบริษัท ชูโกกุ มารีน เพ้นท์ จำกัด ซึ่งการก่อสร้างจะแล้วเสร็จภายในเดือน เม.ย. 63 และคาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องผลิตและจัดจำหน่ายได้ภายในเดือน ก.ค. หรือเดือน ส.ค. 63 โดยในช่วง 5 ปีแรก คาดว่าจะสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท
บริษัทมองว่าความต้องการใช้สีอุตสาหกรรมในเมียนมายังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะเมียนมาเป็นประเทศที่ประกอบธุรกิจประมงทำให้มีความต้องการใช้สีสำหรับการท่าเรือค่อนข้างมาก ประกอบกับ ยังมีการลงทุนก่อสร่างโครงการต่าง ๆ ทำให้มีความต้องการใช้สีทาเหล็กที่มีความทนทานสูงในหลาย ๆ โครงการ ซึ่งบริษัทเป็นหนึ่งในผู้ผลิตสีที่กลุ่มลูกค้าให้ความนิยมในการใช้ โดยปัจจุบันยอดขายในเมียนมาเพิ่มขึ้นไปเกือบ 200 ล้านบาทแล้ว จากยอดขายปีก่อนอยู่ที่ 100 ล้านบาท ทำให้บริษัทมองว่าเมียนมาเป็นประเทศที่มีศักยภาพและมีความต้องการใช้สีในอุตสาหกรรมที่สูง และสามารถเป็นประเทศที่เชื่อมการขยายตลาดไปไนบังคลาเทศได้ จึงตัดสินใจตั้งโรงงานผลิตสีอุสาหกกรรมในเมียนมาครั้งนี้
นอกจากนี้บริษัทยังมองไปถึงการลงทุนตั้งโรงงานผลิตสีอุตสาหกรรมในประเทศอื่น ๆ เพิ่มเติมในอีก 5 ปีข้างหน้า เช่น ลาว และกัมพูชา ซึ่งปัจจุบันบริษัทส่งสีอุตสาหกรรมไปขายในทั้ง 2 ประเทศ มียอดขายที่เริ่มเติบโตขึ้น เพราะทั้ง 2 ประเทศเริ่มมีการลงทุนต่าง ๆ มากขึ้น ทำให้มีความต้องการใช้สีเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งหากการศึกษาการลงทุนในประเทศลาวและกัมพูชามีความคุ้มค่าในระดับที่บริษัทพอใจ ก็พร้อมที่จะเข้าไปลงทุน
นายพิศิษฐ์ กล่าวว่า การลงทุนในอาเซียนมีความน่าสนใจตรงที่การให้สิทธิพิเศษด้านภาษีในการลงทุน 0% ทำให้บริษัทมองโอกาสในการขยายการตั้งโรงงานในอาเซียนมากขึ้น เพื่อขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มขึ้นและรักษาการเป็นผู้นำตลาดในอาเซียนไว้ได้ สำหรับรายได้ของทีโอเอ-ชูโกกุ เพ้นท์ มั่นใจว่าจะเติบโต 15% หรือมาอยู่ที่ 2.3 พันล้านบาทในปีนี้ จากปีก่อนที่อยู่ระดับ 2 พันล้านบาท
สำหรับสัดส่วนรายได้ของบริษัท แบ่งเป็น 70% มาจากกลุ่มสีอุตสาหกรรม และ 30% เป็นรายได้ที่มาจากกลุ่มสีทาเรือ และสีทาตู้คอนเทนเนอร์ โดยยังคงมีส่วนแบ่งตลาด (Market share) เป็นอันดับ 1 ของประเทศที่ 50% ของมูลค่าตลาดกว่า 4 พันล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามตลาดสีอุตสาหกรรมในประเทศปีนี้ยอมรับว่ามีการชะลอตัวลงบ้าง จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้การลงทุนต่าง ๆ ชะลอตัวตาม ซึ่งกระทบมาต่อรายได้ของบริษัทบ้างเล็กน้อย
ขณะที่ช่องการจัดจำหน่ายกลุ่มธุรกิจสีอุตสาหกรรมของบริษัท แบ่งเป็น 75% เป็นการขายตรงให้กับลูกค้าโครงการ และ 25% เป็นการขายผ่านร้านค้าตัวแทน ซึ่งบริษัทจะเพิ่มสัดส่วนการขายผ่านร้านค้าตัวแทนมากขึ้นเป็น 40% ภายในอีก 3 ปี เพื่อสามารถเจาะเข้าไปสู่ลูกค้าธุรกิจรายย่อยอื่น ๆ ในประเทศ ทำให้สามารถช่วยขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้น จากปัจจุบันลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่เป็นลูกค้ารายใหญ่ที่ใช้สีอุตสาหกรรมเป็นหลัก โดยในปี 63 สัดส่วนระหว่างการขายตรงให้กับลูกค้าโครงการ และสัดส่วนการขายผ่านร้านค้าจะมีการปรับเล็กน้อยเป็น 70:30
ด้านนายณัฏฐวุฒิ ตั้งคารวคุณ ประธานบริษัท บริษัท ทีโอเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ในช่วง 3 ปี (ปี 63-65) เพิ่มขึ้นไปแตะที่ 1.8 หมื่นล้านบาท จากปีนี้ที่ตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้หลักจะยังคงเป็นของกลุ่มธุรกิจสีอุตสาหกรรมสัดส่วน 48-50% ของรายได้รวม จากทั้งหมด 4 ธุรกิจ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจสีอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างทีโอเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง 51% และชูโกกุ มารีน จากญี่ปุ่น 49% , กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์ , กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ดำเนินธุรกิจร้านค้าปลีกดองกี้มอลล์ และกลุ่มธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์แบรนด์ Suzuki, MG และกำลังจะเปิดตัวเป็นดีลเลอร์ขายรถยนต์ Mercedes Benz
สำหรับ บมจ.ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) (TOA) เป็นกลุ่มธุรกิจสีทาบ้าน ซึ่งไม่ได้รวมอยู่ในบริษัท ทีโอเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด แต่จะอยู่ในบริษัท ทีโอเอ กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งถือหุ้นใน TOA สัดส่วน 29.99% ทำให้รายได้ของ TOA จะไม่เข้ามารวมอยู่ในทีโอเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง และทีโอเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง ก็ยังไม่มีแผนนำบริษัทลูกเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไนขณะนี้