นายพร้อมพงษ์ พัฒนธีระเดช หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร บริหารผลิตภัณฑ์และ Portfolio ธุรกิจ เอสเอ็มอี ทีเอ็มบี กล่าวว่า จากข้อมูลของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ (ETDA) พบว่ามูลค่าของอีคอมเมิร์ซในกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะสูงถึง 680,000 ล้านบาทภายในปี 2562 นี้ คิดเป็นประมาณ 20% ของมูลค่าการค้าปลีกของประเทศไทย และปัจจุบันมีเอสเอ็มอีเป็นเจ้าของร้านค้าออนไลน์มากกว่า 200,000 ราย บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เช่น Lazada, Shopee และ JD Central และอีกกว่า 300,000 ราย ที่ค้าขายบนโซเชียลคอมเมิร์ซ ทั้ง Facebook, LINE และ Instagram
ด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล ผลักดันให้เกิดการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซไทย ส่งผลให้เจ้าของธุรกิจเอสเอ็มอีได้เพิ่มช่องทางหรือขยายธุรกิจผ่านทางออนไลน์มากขึ้น ทำให้ ทีเอ็มบี เอสเอ็มอี ทำการศึกษาพฤติกรรมของลูกค้ากลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่อยู่ในธุรกิจออนไลน์อย่างลึกซึ้ง เพื่อเป็นแนวทางการให้คำปรึกษาและสนับสนุนให้ลูกค้าสามารถเติบโต "ได้มากกว่า" (Get MORE with TMB) อย่างยั่งยืน
ดังนั้น ทีเอ็มบี ได้ร่วมกับ บริษัทวิจัยชั้นนำของประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับ ทำการสำรวจทางออนไลน์กับผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยจำนวน 200 คน เพื่อค้นหาปัญหาในทุกๆ มุมของเจ้าของธุรกิจออนไลน์ที่เป็นอุปสรรคในการบริหารงานและการเติบโตของธุรกิจ รวมถึงการเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาเพื่อให้ร้านค้าออนไลน์สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่น และเติบโตสอดคล้องกับการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซ
ทั้งนี้ ทีเอ็มบี เอสเอ็มอี ได้วิเคราะห์และนำเสนอเป็นบทสรุป "5 เรื่องจริงปวดใจของร้านค้าออนไลน์" พร้อมแนวทางแก้ไขปัญหา ดังนี้
1. ขายยังไงดี ของไม่มีจุดต่าง โดยร้านค้าออนไลน์ถึง 60% พบว่าสินค้าของตนเองไม่มีความแตกต่างจากคู่แข่ง เนื่องจากซื้อสินค้าจากแหล่งเดียวกันถึง 44% และไม่สามารถสั่งผลิตสินค้าแยกได้ เนื่องจากไม่คุ้มค่าการผลิตถึง 16%
แนวทางการแก้ไขปัญหา หากสินค้าไม่มีความแตกต่าง ร้านค้าออนไลน์สามารถสร้างความแตกต่างได้ด้วยแนวทางดังนี้ (1) เน้นกลยุทธ์การตลาดสร้างความต่างให้กับสินค้า เช่น การปรับปรุงและออกแบบหีบห่อบรรจุภัณฑ์ (Packaging) ให้สวยงามทันสมัย ใช้งานสะดวกมากขึ้น หรือมีบริการพิเศษ (2) เจาะตลาดกลุ่มใหม่ๆ ที่มีการแข่งขันน้อยกว่า และ (3) คิดสินค้าให้แตกต่าง และหา OEM มาช่วยผลิต โดยเริ่มจากการผลิตในปริมาณที่ไม่มากเกินไป ซึ่งแนวทางนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างแบรนด์ให้กับตนเอง และช่วยให้ธุรกิจยั่งยืนได้ในระยะยาว
2. ยิงแอดแทบตาย... ยอดขายไม่ปัง!!! โดยร้านค้าออนไลน์ถึง 23% มองว่าการโฆษณาทางออนไลน์ที่ลงทุนไป ได้ผลไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เนื่องจากไม่ได้ยอดขายสินค้ากลับมา และไม่ได้สร้างการรับรู้ของร้านค้าให้มากขึ้น
แนวทางการแก้ไขปัญหา เริ่มแรกร้านค้าออนไลน์ควรวิเคราะห์และทำความรู้จักลูกค้าของตนเองอย่างลึกซึ้งรอบด้านก่อน เช่น เพศ อายุ อาชีพ สถานที่ รวมไปถึงความสนใจและรูปแบบการใช้ชีวิต (Lifestyle) ของลูกค้า และแบ่งเวลาในการเสริมสร้างความรู้ด้านการโฆษณา ด้วยการเข้าอบรมหลักสูตรเกี่ยวกับการเทคนิคการทำโฆษณาออนไลน์ ซึ่งการที่ผู้ประกอบการทราบถึงกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนนั้น จะทำให้การโฆษณามีประสิทธิภาพมากขึ้น และต้นทุนต่ำลง
3. สต็อกจ๋า ปัญหาใหญ่ พบว่า 89% ของร้านค้าออนไลน์ มีการขายสินค้าผ่านทางออฟไลน์ด้วย และทั้งหมดของกลุ่มนี้ ขายสินค้าออนไลน์มากกว่า 1 แพลตฟอร์ม โดย 37% มีปัญหาการบริหารสต็อก ทำให้สูญเสียโอกาสการขาย เสียพื้นที่โกดังเก็บของ เพิ่มต้นทุน และเงินทุนจม
แนวทางการแก้ไขปัญหา หากร้านค้าออนไลน์ต้องการที่จะบริหารสต็อกเอง ก็ควรมีระบบที่จัดการที่ชัดเจน มีการอัพเดทตลอดเวลา และควรเก็บข้อมูลสต็อกไว้ในที่เดียว หรือใช้โปรแกรมหรือระบบอัตโนมัติที่ออกแบบมาเพื่อช่วยการบริหารสต็อก ก็จะสามารถบริหารจัดการสต็อกมากขึ้น
4. จะส่งของให้ลูกค้า ยังต้องลุ้น โดยร้านค้าออนไลน์ถึง 84% เคยประสบปัญหาในการจัดส่งสินค้า อาทิ สินค้าเสียหาย ส่งสินค้าล่าช้า ส่งสินค้าผิดที่ ลูกค้าปฏิเสธการรับสินค้า หรือลูกค้าคืนสินค้าหลังจากได้รับสินค้าแล้ว ซึ่งปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นได้ตั้งแต่กระบวนการตรวจสอบข้อมูลก่อนการส่ง การเตรียมสินค้าเพื่อจัดส่ง ระหว่างการขนส่ง ไปจนถึงกระบวนการตรวจสอบ และรับสินค้า
แนวทางการแก้ไขปัญหา ร้านค้าออนไลน์สามารถลดความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นในกระบวนการดังกล่าว ได้ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การทำระบบ การแปะรหัส ควรตรวจสอบสินค้าก่อนการส่ง และดูแลการบรรจุสินค้าอย่างแน่นหนาหรือเลือกใช้บริการ Pick & pack เพื่อลดขั้นตอนการทำงานบางส่วนออกไป เพื่อจะมีเวลาในการบริการลูกค้ามากขึ้น ทั้งนี้ควรพิจารณาเลือกบริษัทขนส่งที่มีบริการดี น่าเชื่อถือ ก็จะช่วยลดปัญหาความไม่พึงพอใจของลูกค้าได้
5. จะร่วมเทศกาลเซลล์ทั้งที เงินน่ะมีไหม? โดยร้านค้าออนไลน์ถึง 61% ต้องการเงินทุนที่เพียงพอในการเข้าร่วมเทศกาลเซลล์ครั้งใหญ่ที่ทางแพลตฟอร์มจัดขึ้น ซึ่งถือเป็น ‘ช่วงเวลาทองคำ’ ที่ร้านค้าออนไลน์จะสามารถเพิ่มยอดขายได้มากถึง 20-100 เท่า โดยจะต้องนำเงินทุนไปใช้เพื่อสต็อกสินค้า การซื้อโฆษณา และค่าจ้างโอทีของพนักงานเฉพาะช่วงเทศกาลดังกล่าว
โดยปัจจุบัน ร้านค้าออนไลน์ใช้เงินทุนมาจากบัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล หรือบัตรกดเงินสด โดยยอมแบกรับกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินกว่ากำไรที่จะได้รับในช่วงนั้น เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าช่วงเทศกาลเซลล์ ร้านค้าต้องทำราคาให้ต่ำเพื่อดึงดูดลูกค้า จึงดูเหมือนจะไม่คุ้มค่า
แนวทางแก้ไขปัญหา ร้านค้าออนไลน์ควรมีการวางแผนการเงินที่ดี และเตรียมเงินสำรองสำหรับร่วมเทศกาลเซลล์ครั้งสำคัญ เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสทางธุรกิจ ที่สำคัญต้องคำนึงถึงแหล่งที่มาและอัตราดอกเบี้ยของเงินทุนสำรองนั้นๆ ด้วย
"ทั้งนี้ ทีเอ็มบี เอสเอ็มอี เชื่อมั่นว่างานวิจัย "5 เรื่องจริงปวดใจของร้านค้าออนไลน์" และแนวทางแก้ปัญหาที่นำเสนอนั้น จะเป็นส่วนช่วยให้ร้านค้าออนไลน์ สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน สอดคล้องไปกับพฤติกรรมของลูกค้าในยุคดิจิทัล และตลาดอีคอมเมิร์ซที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง" นายพร้อมพงษ์กล่าว