นายโจนาธาน ออสทรี รองผู้อำนวยการฝ่ายเอเชียและแปซิฟิก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินว่า ในปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2.9% ซึ่งเป็นการปรับประมาณการลดลงจากเดิมที่เคยประเมินไว้เมื่อเดือน เม.ย.62 ที่ระดับ 3.5% เนื่องจากผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากผลของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมถึงปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ ขณะที่ปี 63 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ราว 3%
พร้อมมองว่าไทยยังสามารถใช้นโยบายการคลังและนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย เพื่อช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย และลดแรงกระแทกจากเศรษฐกิจขาลง รวมทั้งควรส่งเสริมนโยบายการออมเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต
"ไทยยังมีพื้นที่ทางการคลังที่จะดำเนินนโยบายการคลัง และนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย เพื่อสนับสนุนให้เกิดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ให้เศรษฐกิจเข้าสู่ขาลงที่รุนแรง การใช้เครื่องมือทางการคลังที่เหมาะสมจะช่วยลดแรงกระแทกเศรษฐกิจขาลงได้" นายโจนาธาน ออสทรี ระบุ
พร้อมกันนี้ IMF ยังเปิดเผยรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย พบว่า ในปี 62 เศรษฐกิจเอเชียมีแนวโน้มขยายตัว 5% และในปี 63 คาดว่าจะขยายตัว 5.1% (ต่ำกว่าที่เคยประมาณการไว้เมื่อเดือน เม.ย.62) โดยการค้าและการลงทุนชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญจากมาตรการกีดกันทางการค้า และความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการผลิต
สำหรับการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายในประเทศพัฒนาแล้ว และภาวะการเงินโลกที่ผ่อนคลายมากขึ้น แม้จะเป็นปัจจัยที่ช่วยประคับประคองการขยายตัวของเศรษฐกิจเอเชีย แต่ขณะเดียวกันก็อาจส่งผลกระทบต่อความเปราะบางทางการเงินของประเทศในภูมิภาค
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกภูมิภาค ได้แก่ ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่อาจทวีความรุนแรงมากขึ้น เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักชะลอตัวกว่าที่คาดไว้ ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และความเสี่ยงจากการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (BREXIT) แบบไร้ข้อตกลง ส่วนปัจจัยเสี่ยงภายในภูมิภาค ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ความตึงเครียดภายในภูมิภาคที่เพิ่มขึ้น และความเสี่ยงจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่สูงขึ้น