นายศุภกิจ รวีอร่ามวงค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไลบรารี่ เอสเตท จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมเพื่อจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า เพื่อระดมทุนนำเงินมาใช้ลงทุนธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) เช่น ธุรกิจโรงแรมในกรุงเทพฯ และภูเก็ต ต่อยอดธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน
พร้อมกันนั้น ยังจะช่วยให้บริษัทมีแหล่งเงินทุนรองรับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยได้มากขึ้นในอนาคต โดยในช่วง 6 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ได้พัฒนาโครงการมาแล้วทั้งหมด 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 2 พันล้านบาท สัดส่วนเป็นโครงการคอนโดมิเนียม Low rise 60% และแนวราบ ทั้งทาวน์เฮาส์และโฮมออฟฟิศ 40% ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนร่วมกับพันธมิตรที่เป็นนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยที่บริษัทจะถือหุ้นสัดส่วนมากกว่า 50% เพื่อให้มีอำนาจในการบริหารโครงการได้อย่างเต็มที่
แหล่งเงินทุนของบริษัทในปัจจุบันจะมาจากกระแสเงินสดทั้งของบริษัทและพันธมิตร รวมทั้งเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน ซึ่งบริษัทจะเน้นไปที่การบริหารด้านความเสี่ยงเป็นหลัก โดยเฉพาะการรักษาสภาพคล่อง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินธุรกิจให้ไปต่อได้ เพราะการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ต้องใช้ระยะเวลาในการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน ทำให้ต้องประเมินความเสี่ยงในการพัฒนาแต่ละโครงการอย่างรอบคอบ พร้อมกับ ประเมินระยะเวลาที่จะได้รับผลตอบแทนกลับมาควบคู่กัน โดยการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม Low rise จะใช้ระยะเวลาตั้งแต่การเริ่มโครงการไปจนถึงการโอนประมาณ 2 ปี
บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายในช่วง 2 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 65 เพิ่มขึ้นแตะ 1 พันล้านบาท จากปีนี้ทำได้ราว 500 ล้านบาท โดยจะพัฒนาโครงการใหม่ปีละ 2-3 โครงการ ทั้งคอนโดมิเนียมและแนวราบ มูลค่ารวมกว่าปีละ 1 พันล้านบาท หรือโครงการละ 200-500 ล้านบาท ซึ่งจะยังคงร่วมทุนกับพันธมิตรเป็นหลัก เพื่อทำให้ยอดขายและผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตได้ 20% ต่อปีอย่างต่อเนื่อง
ขณะนี้บริษัทวางแผนซื้อที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ราว 2-3 แปลง/ปี โดยตั้งงบซื้อที่ดินราวปีละ 150 ล้านบาท โดยจะเน้นทำเลใกล้แนวรถไฟฟ้าที่เปิดให้บริการแล้ว เพื่อนำมาพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ส่วนแนวราบจะเริ่มหันมาเน้นมองหาทำเลกรุงเทพฯโซนเหนือที่บริษัทสนใจเข้าไปรุกทำเลใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ หลังจากที่บริษัทพัฒนาโครงการแนวราบ The Commerce ประชาอุทิศ-สุขสวัสดิ์ ซึ่งเป็นทำเลกรุงเทพฯตะวันออกเฉียงใต้ประสบความสำเร็จ
บริษัทยังปรับแบรนด์พัฒนาโครงการให้สอดคล้องกับลูกค้าแต่ละกลุ่มมากขึ้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการสื่อสารและเข้าถึงลูกค้าเป้าหมาย โดยจะมีทั้งหมด 6 แบรนด์ ได้แก่ GEO จะเป็นโครงการระดับราคา 2 ล้านบาทขึ้นไป เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่และคนเริ่มทำงาน อยู่ใกล้รถไฟฟ้า, PHILO จะเป็นโครงการระดับราคา 3-4 ล้านบาท ทำเลติดรถไฟฟ้า, NOVEL โครงการระดับราคา 10 ล้านบาท ทำเลที่มีศักยภาพสูง, The Commerce เป็นโครงการเชิงพาณิชย์ที่เป็นอาคารพาณิชย์ และ Shophouse และแบรนด์ใหม่ HISTORY อยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งเป็นโครงการระดับพรีเมียม Flagship ของบริษัท ซึ่งจะมีการเปิดตัวในอนาคต
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการเตรียมเจรจากับพันธมิตรใหม่จากมาเลเซียที่เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์มืออาชีพเพื่อมาร่วมกันพัฒนาโครงการใหม่ในอนาคต จากปัจจุบันบริษัทมีพันธมิตรจากสิงคโปร์เป็นพันธมิตรหลักร่วมลงทุนอยู่แล้ว