พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวผ่านรายการ Government weekly ทางเพจเฟซบุ๊ก "ไทยคู่ฟ้า" โดยเป็นการกล่าวกับคนไทยในประเทศญี่ปุ่น ในระหว่างการเดินทางไปร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นว่า โครงการในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) คาดว่าสามารถรองรับบุคคลากร รวมถึงผู้ที่จบการศึกษาได้ถึง 6 หมื่นกว่าคนในช่วง 5 ปีแรก ซึ่งในอีอีซีมี 5 อุตสาหกรรมใหม่รองรับไว้อยู่แล้ว
การพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ว่า ถือเป็นลงทุนโครงการเมกะโปรเจคต์เพื่ออนาคต ช่วยขยายฐานการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ให้เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งกว่าจะเห็นผลสัมฤทธิ์ของโครงการใช้เวลาอีก 3-5 ปี โดยโครงการที่สำคัญๆ เช่น รถไฟความเร็วสูงที่เน้นการเคลื่อยย้ายคน ช่วยลดระยะเวลาเดินทาง ส่วนการขนส่งสินค้าจะเน้นไปที่การพัฒนารถไฟทางคู่เป็นหลัก
นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ประเทศไทยถือเป็นศูนย์กลางอาเซียน ดังนั้นต้องใช้ศักยภาพตรงนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาประเทศ ซึ่งประเทศไทยทำการเกษตรกรรมเป็นหลักและต้องพัฒนาเพื่อเพิ่มมูลค่ามากขึ้น รวมทั้งต้องพัฒนาประเทศไปสู่ศตวรรษที่ 21 ที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อรองรับการแข่งขันและการพัฒนาขีดความสามารถของประเทศ ซึ่งในด้านการศึกษาต้องมีการพัฒนาครูและนักเรียนให้สอดคล้องศตวรรษที่ 21 ด้วย
ดังนั้นทุกคนต้องพัฒนาฝีมือแรงงานในประเทศเพื่อเตรียมพร้อมกับเศรษฐกิจใหม่ที่กำลังจะเกิด ขณะนี้มีต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น จึงต้องหาแนวทางในการสนับสนุนส่งเสริมภายในประเทศ ทั้งด้านความรู้ ความสามารถ สร้างการรับรู้คนในประเทศ เพื่อประเทศไทยน่าอยู่มากยิ่งขึ้น รวมถึงพัฒนาด้านสุขภาพ การกินอยู่ การรักษาพยาบาลของประชาชนให้มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ขอให้ทุกคนร่วมมือกันพัฒนาประเทศ ด้วยความเข้าใจ สามัคคี และประชาชนมีส่วนร่วม
นายกรัฐมนตรี กล่าวในช่วงท้ายว่า รัฐบาลที่ผ่านมาและรัฐบาลนี้ที่มาจากการเลือกตั้งมีปัญหามาก ซึ่งย่อมมีจุดอ่อน เพราะอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความเข้าใจและการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งจะทะเลาะเบาะแว้งกันไม่ได้ การคิดแตกต่างสามารถทำได้ แบ่งความคิดเป็นสองข้าง แต่ถ้าจะตีกันอยู่แบบนี้มันไม่ได้ ต้องลดลาวาศอกกัน มาจุดตรงกลางเดินไปด้วยกันให้ได้ ประเทศไทยถึงจะไปได้ ถึงจะปฏิรูป หรือทำทุกอย่างได้ ต้องเข้าใจยอมรับและร่วมมือกันด้วย