นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ตั้งเป้าหมายเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป)ในตลาดหุ้นไทยให้มีสัดส่วนเป็น 140% ของผลผลิตมวลรวมในประเทศ(จีดีพี) จากปัจจุบันที่มีสัดส่วน 80% ของจีดีพี โดยเฉพาะการนำมาตรการด้านภาษีและมาตรการจูงใจต่าง ๆ ที่รัฐบาลจะประกาศออกมา คาดว่าจะช่วยเพิ่มจำนวนบริษัทจดทะเบียนใหม่ได้อีกมากกว่า 140-150 ราย
ทั้งนี้นอกเหนือจากมาตรการด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ให้แก่บริษัทใหม่ที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว ยังต้องมีมาตรการที่อำนวยความสะดวก เช่น การตรวจสอบภาษีของกรมสรรพากรที่น่าจะยืดหยุ่นมากขึ้น เพราะบริษัทจดทะเบียนได้ผ่านการตรวจสอบบัญชีมาแล้ว รวมถึงการอำนวยความสะดวกในการออกใบอนุญาตให้แก่พนักงานต่างชาติที่ทำงานในบริษัทจดทะเบียน
อย่างไรก็ดี พบว่ามีบริษัทในภูมิภาคของไทยที่มีมูลค่าการส่งออกถึงหมื่นล้านบาท รวมทั้งบริษัทต่างชาติที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) แต่ยังไม่ต้องการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจแก่บริษัทดังกล่าวถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
สำหรับการตั้งคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนไทยที่มี รมว.คลังเป็นประธาน ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งในการพัฒนาตลาดทุนไทยนั้น นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า จากที่ได้หารือในเบื้องต้นกับตลาดหลักทรัพย์แล้วคาดว่าจะสามารถสรุปองค์ประกอบของในการจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนได้ใน 2 สัปดาห์นี้ เพื่อนำเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาแต่งตั้งต่อไปและนำไปสู่การจัดทำแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ทั้งนี้ เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันการพัฒนาประสิทธิภาพและการมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ให้เพิ่มมากขึ้นรวมถึงการมีธรรมาภิบาลที่ดี
นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า ส่วนมาตรการที่จะนำมาใช้สนับสนุนนโยบายที่รัฐบาลได้ประกาศให้เป็นปี 51-52 เป็นปีแห่งการลงทุนนั้น คิดไว้แล้วหลายแนวทาง แต่ยังไม่ขอเปิดเผยในขณะนี้ หลังจากที่มีข้อสรุปชัดเจนและนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้วคงจะสามารถเปิดเผยได้
ส่วนแนวทางการสนับสนุนให้รัฐวิสาหกิจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้น ยังไม่ใช่นโยบายที่รัฐบาลจะต้องรีบดำเนินการในขณะนี้ แต่สิ่งที่รัฐบาลต้องการเห็นในขณะนี้คือการให้รัฐวิสาหกิจปฏิรูปการบริหารองค์กรให้มีประสิทธิภาพก่อน หากไม่มีการบริหารจัดการที่ดีแล้วการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ก็ไม่มีประโยชน์
ดังนั้น รัฐบาลต้องการให้รัฐวิสาหกิจเร่งปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน ซึ่งการเข้าตลาดหลักทรัพย์จะต้องพิจารณาด้วยว่ารัฐวิสาหกิจบางแห่งอาจมีข้อจำกัดในเรื่องทรัพย์สินที่อาจเป็นปัญหาได้
ขณะที่ บมจ.กสท.โทรคมนาคม(CAT) และ บมจ.ทีโอที(TOT) ที่ก่อนหน้านี้มีความพร้อมจะกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้น นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า ทั้ง 2 บริษัทยังมีปัญหาด้านการจัดการและความสามารถในการแข่งขัน ดังนั้นก่อนที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ต้องให้ 2 บริษัทแก้ไขปัญหาภายในองค์กรก่อน
--อินโฟเควสท์ โดย คลฦ/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--