นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม แถลงผลงานภายหลังเข้ารับตำแหน่ง 3 เดือน "99 วัน อุตสาหกรรมทำได้" ว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้เร่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคอุตสาหกรรมทุกระดับ พัฒนาอุตสาหกรรมให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยในช่วง 99 วันที่ผ่านมา ได้ดำเนินการร่วมกับภาคเอกชนโดยเฉพาะสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เช่น การส่งเสริม Ease of Doing Business, การส่งเสริม Made in Thailand เป็นต้น และตอบโจทย์ประชาชนในการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
ทั้งนี้ สามารถจัดกลุ่มผลงานได้เป็น 5 เรื่องหลัก ซึ่งสอดรับกับข้อเสนอภาคเอกชน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และประชาชน ประกอบด้วย 1. การสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคอุตสาหกรรม ด้วยการส่งเสริม Made in Thailand โดยบูรณาการร่วมกับ ส.อ.ท.อย่างใกล้ชิด โดยการเชิญชวนและดึงดูดนักลงทุน ผู้ประกอบการต่างชาติ ให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย
อีกทั้งได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จัดทำกรอบและแนวทางการปรับปรุงสภาพแวดล้อมของการลงทุน เพื่อชักจูงและรองรับการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติมายังประเทศไทย ใช้ชื่อโครงการว่า "Thailand Plus Package" เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ อำนวยความสะดวก เพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจแก่นักลงทุน และคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2562 โดยมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมจัดเตรียมและจัดหาที่ดินสำหรับนักลงทุน ซึ่งได้จัดเตรียมพื้นที่รองรับไว้แล้ว ประมาณ 6,466 ไร่
2. การพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงพื้นที่ โดยพัฒนานิคมในพื้นที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักโครงการแรก 1 ใน 5 Mega Project List ในพื้นที่ EEC เพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ในพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 1,000 ไร่ โดยได้ร่วมลงนามในสัญญาร่วมลงทุนระหว่างการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กับ บริษัท กัลฟ์ เอ็มทีพี แอลเอ็นจี เทอร์มินอล จำกัด มูลค่าโครงการประมาณ 47,900 ล้านบาท โดยหลังจากดำเนินการพัฒนาแล้วเสร็จ จะสามารถรองรับสินค้าผ่านท่อก๊าซธรรมชาติและสินค้าด้านปิโตรเคมีได้เพิ่มอีกประมาณ 14 ล้านตันต่อปี
3. การปฏิรูปกระทรวงอุตสาหกรรมไปสู่ Smart Government โดยการนำระบบ i-Industry มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่มาติดต่อรับบริการ ในรูปแบบ One Stop Service และเชื่อมโยงข้อมูลให้เป็นหนึ่งเดียวทั้งกระทรวงฯ นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมยังได้พัฒนาระบบE-licenseเพื่ออำนวยความสะดวกโดยผู้ประกอบการสามารถยื่นคำร้องผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ไม่ต้องเดินทางมาที่สถานที่ราชการ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
4.ทะลวงอุปสรรค ลดขั้นตอนผู้ประกอบการ SMEs และ Start up ในการเข้าถึงสินเชื่อ ด้วยโครงการ "สินเชื่อ SME โตไว ไทยยั่งยืน" ภายใต้กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ วงเงิน 3,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยต่ำเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ต่อปี วงเงินกู้สูงสุด 3 ล้านบาทต่อราย ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 7 ปี โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ 1) กลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม ธุรกิจเกษตรแปรรูป (Agro Industry) ประเภทอาหาร และที่ไม่ใช่อาหาร 2) กลุ่มผู้ผลิต หรือออกแบบในธุรกิจอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry) และ 3) กลุ่มธุรกิจที่จะใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการปรับปรุงกิจการให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น (Digital Transformation) ทั้งนี้ ผมได้สั่งการลดขั้นตอนการขอสินเชื่อจากปกติที่ต้องใช้ระยะเวลา 3 เดือน เหลือเพียงไม่ถึง 1 เดือน เท่านั้น โดยสามารถยื่นคำขอสินเชื่อได้ที่อุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศตั้งแต่ 15 พฤศจิกายน 2562 ผมตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อ 3,000 ล้านบาท ให้เสร็จสิ้นในระยะเวลา 3 เดือน
และ 5.การดูแลประชาชนและผู้ประกอบการ ด้วยการกำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 244 เรื่อง เพื่อความปลอดภัยของประชาชนในการใช้สินค้าต่างๆ เพิ่มขึ้นถึง 495% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 ซึ่งมีการประกาศมาตรฐาน เพียง 41 เรื่อง
นายสุริยะ กล่าวว่า ได้มีการออกมาตรการเร่งด่วน 7 มาตรการ จากเหตุการณ์อุทกภัยพายุโพดุล โดยได้ลงพื้นที่ภาคอีสาน 4 จังหวัด ทำทันที ซ่อมสร้าง ฟื้นฟู ช่วยเหลือประชาชนและ ผู้ประกอบการกิจการโรงงานเอสเอ็มอี หรือวิสาหกิจ ยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปี และค่าธรรมเนียมจดทะเบียนเครื่องจักรให้กับสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบเป็นเวลา 3 ปี
รวมทั้งยังเดินหน้า "อุตสาหกรรมทำต่อ" ในหลายด้าน อาทิ การแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่ทางกระทรวงฯ ได้เร่งบังคับใช้มาตรฐานมลพิษจากรถยนต์ที่เทียบเท่า Euro 5 ให้แล้วเสร็จภายในปี 2564 เพื่อลดผลกระทบจากอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง ติดกรงเล็บ SMEs ผ่านโครงการ InnoSpace (Thailand) โดยได้ลงนามความร่วมมือกับพันธมิตรด้านการลงทุนในการส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรม ผู้ประกอบการ และวิสาหกิจเริ่มต้น เดินหน้าสร้าง National Platform สนับสนุน Startup ตลอดวงจรชีวิต และจุดประกายเกษตรอุตสาหกรรมด้วยการยกระดับศักยภาพ SMEs อุตสาหกรรมอาหารแปรรูปด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ร่วมกับสถาบันอาหารภายใต้ศูนย์ ITC-Mie Thailand Innovation Center
สำหรับปัญหาเศรษฐกิจที่มาจากปัจจัยที่ท้าทายหลายประการในช่วงนี้ นายสุริยะ กล่าวว่า ในวิกฤติยังมีโอกาส ถ้าสามารถผลักดันให้โครงการใหญ่ๆ เกิดขึ้น หรือดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ก็จะทำให้เกิดการสร้างงาน สร้างโอกาส ยิ่งถ้ามีการสร้างโรงงานด้วยก็จะทำให้มีการจัดซื้อจัดจ้าง เช่น วัสดุก่อสร้าง อุตสาหกรรมอิฐหินปูนทรายก็จะเดินหน้าไปได้ ขณะที่เครื่องจักรบางส่วนอาจจะต้องนำเข้า แต่บางส่วนก็จะใช้จากในประเทศ ก็เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
ส่วนการดูแลผู้ประกอบการ SME จะมีการพิจารณามาตรการเยียวยาพิเศษ เช่น หาแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนราคาถูก โดยจะเสนอที่ประชุมครม.เศรษฐกิจในวันพรุ่งนี้ พิจารณา 13 มาตรการช่วยเหลือ