น.ส.ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บร์ดปีโอไอ) ซึ่งมี พลอ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ว่า ที่ประชุมฯเห็นชอบให้เปิดประเภทกิจการสถานีบริการอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานพาหนะไฟฟ้า หลังจากที่การให้ส่งเสริม "กิจการสถานีอัดประจุไฟฟ้สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า" เดิมได้สิ้นสุดไปแล้วเมื่อสิ้นปี 2561 เพื่อส่งเสริมการให้มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่จะรองรับยานพาหนะไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องและส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้าให้ครอบคลุมสำหรับยานพาหนะที่หลากหลายทั้งทางบกและทางน้ำ ไม่จำกัดเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า
นอกจากนี้ ยังกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมจากเดิม คือ จะต้องมีหัวจ่ายรวมไม่น้อยกว่า 40 หัวจ่าย โดยเป็นประเภท Quick Charge ไม่น้อยกว่า 25% ของจำนวนหัวจ่ายประจุไฟฟ้าทั้งหมดภายใต้โครงการ เพื่อเพิ่มความป็นไปได้ในการติดตั้งหัวจ่ายประจุไฟฟ้าให้ครอบคลุมพื้นที่การให้บริการมากขึ้น โดยผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี
ที่ประชุมฯ ยังเห็นชอบให้ปรับปรุงประเภทกิจการ เงื่อนไข และสิทธิประโยชน์ในหมวดอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับเครื่องใช้ไฟฟัและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว และเพื่อชักจูงบริษัทเป้าหมายและช่วงชิงโอกาสในการสร้างให้ประเทศไทยเป็นฐานการลิตผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งจะมีส่วนทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของสินค้าส่งออกหลักของไทย และสร้างการจ้างงานทักษะสูงมากขึ้นในประเทศไทย
โดยเปิดให้การส่งเสริมกิจการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะและกิจการผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5-8 ปื นอกจากนั้น เพื่อกระตุ้นให้มีการลงทุนที่จะสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ยังได้ปรับปรุงให้สิทธิและประโยชนีให้สูงขึ้น หากเป็นโครงการที่มีกระบวนการผลิตที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงหรือสร้างมูลค่าเพิ่มสูงหรือใช้องค์ความรู้สูง เช่น ขั้นตอนการวิจัยและพัฒนา ขั้นตอนการออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
น.ส.ดวงใจ กล่าวว่า ที่ประชุมฯ ยังอนุมัติให้การส่งเสริมโครงการผลิตพลังานไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ 1 โครงการ ตั้งอยู่ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา มีขนาดกำลังผลิต 560 เมกะวัตต์ มูลค่าเงินลงทุน 22,268 ล้านบาท
อีกทั้งเห็นชอบให้เพิ่มพื้นที่เมืองนวัตกรรมอาหาร หรือ Food Innopolis อีก 5 แห่ง เป็นเขตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โดยเป็นพื้นที่ที่อยู่ในความดูแลของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และมหาวิทยาลัยนเรศวร
ก่อนหน้านี้ บอร์ดบีโอไอให้ความเห็นชอบพื้นที่เมืองนวัตกรรมอาหารไปแล้วจำนวน 8 แห่ง ได้แก่ เมืองนวัตกรรมอาหารในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
"โครงการในกิจการเป้าหมายที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ Food Innopolis เหล่านี้ นอกจากนั้นจะได้รับสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5-10 ปี ตามเกณฑ์พื้นฐานของแต่ละประเภทกิจการแล้ว ยังจะได้รับสิทธิการลดหย่อนอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% เป็นเวลา 5 ปี หรือได้รับการยกว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมอีก 2 ปี แล้วแต่กรณี มาตรการนี้จะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น ศูนย์กลางนวัตกรรมอาหารของโลก" น.ส.ดวงใจ กล่าว