นายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้ร่วมมือกับบริษัท NTT Data Thailand จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทญี่ปุ่นที่อยู่ในประเทศไทย ในการทดสอบเทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อใช้กับโครงการ National Digital Trade Platform โดย กกร.มองว่าเรื่องนี้เป็นความสำคัญที่ควรจะมีดิจิทัลแพลตฟอร์มสำหรับการค้าขาย และการบริการต่างๆ ของประเทศ เพื่อเตรียมพร้อมกับการเชื่อมต่อกับอาเซียนและประเทศอื่นๆ ในอนาคตต่อไป
ทั้งนี้ ในช่วงเริ่มแรกจะให้เป็นในรูปของ B to B (บริษัทกับบริษัท) ก่อน ซึ่งจะช่วยทำให้การติดต่อค้าขายกับต่างชาติ การแลกเปลี่ยนข้อมูลต่างๆ เป็นประโยชน์มากขึ้น โดยรัฐบาลได้ช่วยสนับสนุนโครงการนี้ด้วยการมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัลมาช่วยทำโครงการนี้ และประสานงานกับภาครัฐในส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการทำแพลตฟอร์มนี้ ขณะที่นายกรัฐมนตรี มุ่งหวังจะให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อช่วยให้การค้าขาย การส่งออก สามารถประหยัดเวลา และลดขั้นตอนให้ง่ายขึ้น
"โครงการพัฒนาแพลตฟอร์มแห่งชาตินี้ จะ link กับ National Single Window (NSW) และเชื่อมต่อกับหน่วยงานราชการอื่นๆ ขณะเดียวกันก็จะเชื่อมต่อกับประเทศอื่นในอาเซียนด้วย เรามองว่าจะช่วย SMEs ได้มาก ช่วยให้ส่งออกได้ง่ายขึ้น เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น ป้องกันการทุจริตต่างๆ เมื่อเราทำตรงนี้แล้ว เชื่อว่าการจัดอันดับของประเทศไทย ใน Ease of Doing Business จะติดอยู่ใน 20 อันดับของโลกได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีมาก" นายกลินท์กล่าว
พร้อมระบุว่า ขณะนี้สมาชิกอาเซียนกำลังหารือกันเพื่อร่วมทำดิจิทัลแพลตฟอร์มนี้ เป็นโครงการ ASEAN Digital Trade Transformation Project ซึ่งก่อนหน้านี้สภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียนต้องการให้ประเทศไทยเข้ามาเริ่มดำเนินการด้วย เนื่องจากเห็นว่าเป็นโครงการที่ดี ช่วยให้การเชื่อมโยงข้อมูลการค้าขายต่างๆ สะดวกมากขึ้น ลดต้นทุน ประหยัดเวลา เพิ่มประสิทธิภาพ และความโปร่งใสมากขึ้น
"เมื่อเร็วๆ นี้ กกร.ได้ทดลองโครงการนี้เป็นโครงการต้นแบบ ร่วมกับบริษัทของญี่ปุ่น ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน นำข้อมูลที่เคยทำที่ญี่ปุ่นมาทดลองในไทย ได้ผลน่าพอใจ ต้องขอบคุณญี่ปุ่นที่ส่งบริษัทนี้มาช่วย และในอนาคต กกร.จะมาร่วมกับภาครัฐทำต่อเนื่อง อยากให้ผลักดันโครงการนี้ให้เกิดขึ้นได้จริง หวังว่าโครงการนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นในการทำแพลตฟอร์มของประเทศ ด้านการค้าขาย การบริการ ที่เชื่อมต่อกับ NSW เพื่อเชื่อมต่อในอาเซียนให้สะดวกมากขึ้น" ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยระบุ
ด้านนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง กล่าวว่า รัฐบาลต้องการสนับสนุนและส่งเสริมโครงการนี้ให้เกิดเป็นรูปธรรมได้จริง ซึ่งภาคเอกชนไทยถือเป็นลำดับที่ 2 ในอาเซียนที่ได้ดำเนินโครงการนี้รองจากประเทศสิงคโปร์ แต่หากเป็นความร่วมมือระหว่างเอกชนกับภาครัฐ จะถือว่าประเทศไทยจะถือว่าเป็นอันดับ 1 เป็นโมเดลต้นแบบของอาเซียนที่เอกชนสามารถริเริ่มงาน และมีรัฐบาลเป็นผู้ส่งเสริม
"เราคุยกันมาปีกว่าแล้ว และในการประชุมอาเซียนซัมมิทครั้งนี้ ได้เตรียมการให้นำเสนอโครงการผ่านทางสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน เพื่อนำเสนอผ่านไปยังผู้นำอาเซียน ซึ่งจุดนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะปัญหาของโลก 4.0 คือการขาดแพลตฟอร์ม ขาดข้อมูล โครงการนี้จะทำให้เกิดแพลตฟอร์มดังกล่าว ที่ผ่านมารัฐบาลก็ทำ National Single Window ในส่วนที่เป็นการเชื่อมโยงข้อมูลของรัฐบาลด้วยกัน แต่ปัญหาคือการเชื่อมโยงกันยังไปไม่สุด เพราะเอกชนอยากนำข้อมูลมาเชื่อมโยงกับรัฐบาลในส่วนนี้ด้วย...เป็นเรื่องน่ายินดี ที่นอกจากที่เคยประกาศไว้ว่าเป็นวาระแห่งชาติ ตอนนี้จะได้เป็นวาระแห่งอาเซียนแล้ว" นายกอบศักดิ์ กล่าว
พร้อมระบุว่า โครงการนี้ของ กกร.จึงเป็นเรื่องที่ดี เพราะช่วยนำพาโครงการพื้นฐานที่รัฐบาลทำไว้ให้ต่อยอดไปสู่อีกจุดหนึ่ง ช่วยลดต้นทุน สร้างฐานข้อมูลให้กว้างมากขึ้น ซึ่งในยุค 4.0 การมีข้อมูลมากจะยิ่งได้เปรียบ และช่วยให้เกิดการบริการที่กว้างขวางขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในขณะที่ต้นทุนถูกลง ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยให้ดีขึ้น