นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผลการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (EAS) ครั้งที่ 14 ซึ่งจัดขึ้นเพื่อร่วมกันกำหนดทิศทางและทบทวนความร่วมมือและบทบาทของการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (EAS) ในการส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรือง โดยมีการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นเชิงยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน
โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 14 ว่า "EAS" เป็นเสาหลักของความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของภูมิภาคและโลก และอยู่ในจุดสูงสุดของโครงสร้างสถาปัตยกรรมภูมิภาคที่มีอาเซียนเป็นแกนกลาง ทำให้ EAS มีความสำคัญและมีบทบาทในการส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคอาเซียนมาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ไทยได้ให้ความสำคัญกับ EAS ในการส่งเสริมความไว้เนื้อเชื่อใจเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรับมือกับความท้าทายที่ส่งผลกระทบต่อสันติภาพ และความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาค
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การส่งเสริมความมั่นคงและการพัฒนาที่ยั่งยืน โลกาภิวัฒน์และการเชื่อมโยงกันในมิติต่าง ๆ นำมาซึ่งโอกาสทางด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามเราต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคงในรูปแบบต่าง ๆ ที่พร้อมกับความเชื่อมโยง และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณและขอความร่วมมือผู้นำทุกคนในการขับเคลื่อน EAS เพื่อเพิ่มพูนความไว้เนื้อเชื่อใจเชิงยุทธศาสตร์ และแก้ไขปัญหาความท้าทายต่าง ๆ เพื่อให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ (win-win solution) และสนับสนุนความเชื่อมโยงระหว่าง EAS กับกรอบความร่วมมือต่าง ๆ ที่มีอยู่ในภูมิภาค เพื่อให้เกิดการสอดประสานระหว่างกัน (synergy) มากที่สุด
สำหรับประเทศที่เข้าร่วมใน EAS จำนวน 18 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน 10 ประเทศ ร่วมกับออสเตรเลีย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี นิวซีแลนด์ รัสเซีย และสหรัฐฯ