กลุ่มเหล็ก จี้รัฐใช้มาตรการเข้มข้นตอบโต้เหล็กนอกทะลักทุ่มตลาดไทย หนุนใช้เหล็กที่ผลิตในประเทศ

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday November 5, 2019 15:23 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิกรม วัชระคุปต์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า จากความต้องการใช้เหล็กของโลกในปี 2561 ที่มีอัตราเติบโต 4.6% ส่วนในปี 2562 จะเติบโต 3.9% และคาดว่าในปี 2563 อัตราการเติบโตจะเหลือเพียง 1.7% เท่านั้น โดยสวนทางกับการเพิ่มกำลังการผลิตเหล็กของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน, อินเดีย และอิหร่าน จน Organisation for Economic Co-operation and Development (OECD) ได้แสดงความกังวลว่าภาวะ Over Supply ของสินค้าเหล็กจะกลับเข้าสู่ภาวะวิกฤตสูงอีก เพราะกำลังการผลิตเหล็กทั่วโลกมีมากเกินความต้องการใช้ถึง 440 ล้านตันต่อปี

สำหรับการแก้ไขปัญหาสินค้าเหล็กทุ่มตลาดจากต่างประเทศนั้น กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กมั่นใจในการทำงานของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ซึ่งได้รับทราบปัญหาวิกฤติของอุตสาหกรรมเหล็กไทยแล้ว โดยขอให้พิจารณา (1) เร่งรัดมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping) ที่รอการพิจารณาของคณะกรรมการ ให้มีความรวดเร็วและทันการณ์มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สินค้าท่อเหล็กจากเวียดนาม และเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสีแบบจุ่มร้อนจากจีน ซึ่งเพียง 9 เดือนแรกของปี 2562 มีปริมาณนำเข้าสินค้าดังกล่าวรวมกันมากกว่าล้านตัน จนส่งกระทบต่อโรงงานผลิตท่อ และโรงงานผลิตเหล็กเคลือบสังกะสีในประเทศไทย ต้องลดการผลิตหรือทะยอยปิดงานไปบ้างแล้ว

(2) บังคับใช้ พ.ร.บ.การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ ฉบับปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม เรื่องตอบโต้การหลบเลี่ยง (Anti Circumvention) ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 18 พ.ย.62 อย่างเข้มงวดจริงจัง เพื่อเอาผิดผู้หลบเลี่ยงอากรทุ่มตลาด แม้จะมีผู้นำเข้าบางรายที่มีพฤติกรรมหลบเลี่ยงอากรทุ่มตลาด ร้องขอให้เลื่อนการบังคับใช้กฎหมายนี้ออกไป เพราะเกรงกลัวความผิด ในขณะที่ผู้นำเข้าส่วนใหญ่ซึ่งดำเนินธุรกิจโดยสุจริต ไม่ได้ตื่นตระหนกกับกฎหมายดังกล่าวแต่อย่างใด

นายวิกรม กล่าวว่า การใช้เพียงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด ไม่สามารถแก้ปัญหาความเสียหายทางเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างระดับที่กว้างขวางต่ออุตสาหกรรมเหล็กของประเทศไทย อันเนื่องมาจากกำลังการผลิตเหล็กของโลกที่มีมากเกินความต้องการ และการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมจากต่างประเทศ จนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศไทยมีการใช้กำลังการผลิตถดถอย เหลือเพียง 33% เท่านั้น ดังนั้นการแก้ไขปัญหาที่สำคัญอีกแนวทาง คือ การสนับสนุนการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ที่จะมีการใช้งบประมาณหลายล้านล้านบาทในระยะเวลาข้างหน้านี้

กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กยังได้สนับสนุนนโยบาย Thai First ที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ประกาศและให้กระทรวงคมนาคมเร่งทำ workshop กับกลุ่ม 7 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทย ศึกษาแนวทางนำร่องเพื่อส่งเสริมการใช้สินค้าเหล็กที่ผลิตในประเทศ

พร้อมกันนี้ ได้ขอให้หน่วยงานรัฐอื่นๆ โดยเฉพาะกรมบัญชีกลาง ภายใต้กระทรวงการคลังที่เป็นหน่วยงานดูแลกฎระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ พิจารณากำหนดนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบการในประเทศ เช่น เดียวกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลกดังเช่น สหรัฐอเมริกา จีน และอินเดีย มีการที่มีการกำหนดนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศอย่างเป็นรูปธรรม หรือแม้แต่มาเลเซียที่มีการใช้โปรแกรมการจัดซื้อของรัฐเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรม Industrial Collaboration Program (ICP) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตภายในประเทศ และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมในประเทศ

"กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก เชื่อว่าหากภาครัฐดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างมีบูรณาการ นอกจากจะช่วยรักษาพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กอันเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐานของประเทศที่ได้มีการลงทุนไปหลายแสนล้านบาท และมีการจ้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อมนับแสนรายได้แล้ว จะมีส่วนช่วยภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวอย่างชัดเจน" นายวิกรมระบุ

ทั้งนี้ ความต้องการใช้เหล็กของประเทศไทย ปี 2562 อยู่ที่ราว 19.1 ล้านตัน ในขณะที่ผู้ผลิตเหล็กจากต่างประเทศ ซึ่งประสบปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ และไม่สามารถส่งออกสินค้าเหล็กไปยังประเทศอื่นๆ ที่ใช้มาตรการกีดกันต่างๆ อย่างเข้มข้น ต่างพากันเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดสินค้าเหล็กในประเทศไทย โดยพบว่าใน 9 เดือนแรกปี 62 (ม.ค.-ก.ย.) สินค้าเหล็กนำเข้ามีส่วนแบ่งตลาดในประเทศไทยเพิ่มขึ้นถึง 67%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ