นายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกร.ได้มีการหารือประเด็นการลดผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท โดยเห็นว่าภาคเอกชนควรจะแสดงท่าทีที่ชัดเจนไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เพื่อให้มีมาตรการลดผลกระทบเงินบาทที่แข็งค่าเร็ว ซึ่งอาจจะยังส่งผลกระทบมากขึ้นต่อเศรษฐกิจไทยต่อเนื่องไปในปีหน้า โดยจำเป็นต้องมีการทบทวนนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ย มาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การเพิ่มระยะเวลาการพักเงินรายได้จากการส่งออกในรูปเงินตราต่างประเทศ การคืนภาษีมูลค่าเพิ่มแก่ผู้ส่งออกเร็วขึ้น เป็นต้น รวมไปถึงการผลักดันให้โครงสร้างการส่งออกมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น
นอกจากนี้ ในระยะสั้น กกร.เสนอให้มีการจัดตั้งคณะทำงานระหว่าง กกร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางด้านเศรษฐกิจ รวมทั้ง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงการคลัง เพื่อร่วมกันหาแนวทางดำเนินการต่อไป สำหรับในระยะกลางและระยะยาว ภาคเอกชนจะเร่งการพัฒนาด้านต้นทุนและราคา โดยต้องพัฒนานวัตกรรมและสินค้าใหม่ๆ ออกมาเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มประสิทธิภาพของสินค้าไทยให้มีศักยภาพ
ที่ประชุม กกร.ยังได้พิจารณาร่วมกันถึงภาวะเศรษฐกิจไทย ซึ่งจากเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยส่วนใหญ่ที่ลดตัวลง สะท้อนว่าอาจจะยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวดีขึ้นของ GDP ในไตรมาสที่ 3/2562 หลังจากช่วงครึ่งปีแรก GDP ขยายตัวเพียง 2.6% (YoY) โดยในไตรมาส 3/2562 การส่งออกหดตัวเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่มีเพียงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ขยายตัวดีขึ้น จากผลของฐานที่ต่ำในปีก่อนและอานิสงส์จากมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียม Visa on Arrivals ทั้งนี้ ภาคเอกชนและภาครัฐอยู่ระหว่างการหารือมาตรการต่างๆ เพื่อสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว เช่น การเปิดเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ๆ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี กกร.ยังคงกรอบประมาณการเศรษฐกิจไทย การส่งออก และอัตราเงินเฟ้อในปี 2562 ไว้ตามเดิม แต่จะติดตามและประเมินสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิดต่อไป โดยคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 2.7-3.0% ส่วนการส่งออก -2 ถึง 0% และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ระดับ 0.8-1.2%
โดยเมื่อมองไปข้างหน้า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยยังอยู่ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยง ทั้งจากทิศทางเศรษฐกิจหลักในโลกที่ชะลอลง ผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน (แม้อาจเจรจากันได้) รวมถึงเงินบาทที่ยังคงแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่จะยังคงสร้างแรงกดดันต่อการส่งออกและความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย
นอกจากนี้ สถานการณ์คำสั่งซื้อจากการส่งออกที่ชะลอลง หากยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง ก็อาจสร้างผลกระทบต่อประเด็นการจ้างงานและกำลังซื้อภายในประเทศเป็นวงกว้างมากขึ้นในอนาคต ขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ในช่วงเดือนก.ค.-ต.ค.62 แสดงให้เห็นว่า ตัวเลขการจ้างงานได้ปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน ต่อเนื่องกันมา 4 เดือนแล้ว
ขณะที่โครงการ "ชิมช้อปใช้" เฟสแรกและเฟสสอง ได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นจำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลกำลังพิจารณาว่าจะขยายโครงการเฟส 3 ต่อ อีก โดย กกร. มองว่าโครงการนี้จะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 และทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบได้มากขึ้น
นายกลินท์ กล่าวด้วยว่า ที่ประชุม กกร.ยังได้หารือถึงกรณีที่สหรัฐฯ ประกาศตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) กับสินค้าไทย จำนวน 573 รายการ โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 25 เม.ย.63 ซึ่งทำให้สินค้าบางรายการที่ไทยส่งออกไปยังสหรัฐฯ ถูกจัดเก็บภาษีนำเข้า 4-5% จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกประมาณ 1,500-1,800 ล้านบาทต่อปีว่า แม้ผลกระทบเบื้องต้นในภาพรวมต่อการส่งออกอาจมีจำกัด โดยจะตกอยู่ที่หมวดสินค้าที่อัตราภาษีเพิ่มขึ้นมากและมีส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐฯ น้อย เช่น ตะกั่วบริสุทธิ์ กุญแจที่ใช้กับยานยนต์ ชิ้นส่วนของเครื่องจักรโรงงาน สารประกอบอินทรีย์และอนินทรีย์ เป็นต้น แต่ที่ประชุม กกร. เห็นว่าภาครัฐควรเร่งเจรจากับสหรัฐฯ ก่อนถึงเงื่อนเวลาที่จะมีการตัดสิทธิ และควรจะต้องมีมาตรการดำเนินการต่อ ดังนี้
1) ประสานงานเรื่องดังกล่าวต่อกระทรวงแรงงาน 2) การจัดทำ Early Warning สำหรับสินค้าที่อาจถูกตัดสิทธิในลำดับต่อไป และ 3) นำประเด็นนี้เข้าหารือในการประชุม กรอ.พาณิชย์ และสมาคมการค้าสหรัฐฯ นอกจากนี้ ทางภาครัฐควรร่วมมือกับภาคเอกชนโดยให้การสนับสนุนในการพัฒนายกระดับคุณภาพสินค้าและการเจาะตลาดใหม่ๆ พร้อมทั้งดูแลระดับอัตราแลกเปลี่ยนให้แข่งขันได้ยิ่งขึ้น
ส่วนกรณีที่ล่าสุด ธนาคารโลกได้เผยแพร่การจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจ (Doing Business 2020) ของประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวม 190 ประเทศ โดยประเทศไทยได้อันดับที่ 21 ของโลก ดีขึ้น 6 อันดับ จากอันดับที่ 27 ในปีที่ผ่านมานั้น กกร. เห็นว่าการที่ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับดีขึ้นในครั้งนี้ เป็นผลจากความพยายามของภาครัฐและเอกชนในการดำเนินมาตรการต่างๆ ทั้งความพยายามลดขั้นตอนการขออนุมัติหรือการนำระบบดิจิทัลเข้ามาใช้ในการให้บริการภาครัฐ รวมถึงการปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลง และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้ดีขึ้น