โพลล์สำรวจความคิดเห็นซึ่งจัดทำโดยลอสแองเจลิส ไทม์ส และ บลูมเบิร์ก เปิดเผยว่า ชาวอเมริกันส่วนมากวางแผนนำเงินที่ได้จากการคืนภาษีไปใช้หนี้หรือไม่ก็เก็บไว้ มากกว่านำไปใช้จ่ายซึ่งจะเป็นความเคลื่อนไหวที่จะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐได้
ผลสำรวจที่ได้รับการเปิดเผยเมื่อวานนี้ระบุว่า มีผู้ตอบแบบสอบถามเพียง 18% ที่จะนำเงินคืนภาษีไปใช้จ่าย ในขณะที่กว่า 34% ตั้งใจเก็บเงินดังกล่าวไว้ ส่วนอีก 31% ตั้งใจจะนำไปใช้หนี้
ชาวอเมริกันค่อนข้างมีมุมมองในแง่ลบเกี่ยวกับเศรษฐกิจ โดยกว่า 71% เชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังย่ำแย่ ส่วน 61% เชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว นอกจากนั้นกว่า 77% ยังคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะอยู่ในสภาพย่ำแย่ในอีก 6 เดือนต่อจากนี้
ผลการสำรวจดังกล่าวค่อนข้างน่าผิดหวังสำหรับรัฐบาล ซึ่งตั้งใจใช้มาตรการคืนภาษีกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อให้ประชาชนนำเงินไปใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมิให้เข้าสู่ภาวะถดถอย
โดยมาตรการดังกล่าวระบุว่า บุคคลซึ่งจ่ายภาษีเงินได้จะได้รับเงินคืนสูงสุด 600 ดอลลาร์ ส่วนคู่สมรสจะได้รับเงินคืนสูงสุด 1,200 ดอลลาร์ ในขณะที่ผู้ที่มีบุตรจะได้รับเงินคืนเพิ่มอีก 300 ดอลลาร์ต่อบุตร 1 คน
จาเรด เบิร์นสไตน์ นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันนโยบายเศรษฐกิจในกรุงวอชิงตัน กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวจะถือว่าประสบความสำเร็จ หากประชาชนใช้เงินที่ได้รับคืนมาอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง
"รัฐบาลคาดว่าชาวอเมริกันจะนำเงินดังกล่าวมาใช้อย่างคล่องมือเหมือนเมื่อก่อน แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าพวกเขาคิดผิด" นายเบิร์นสไตน์กล่าว
จอห์น ซิลเวีย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Wachovia Corp. กล่าวว่า ผลจากการวิเคราะห์การคืนภาษีเมื่อปี 2544 ระบุว่า เงินคืนภาษีกว่า 2 ใน 3 ถูกนำไปใช้จ่าย ดังนั้นผลการสำรวจในครั้งนี้จึงถือว่า "ค่อนข้างพลิกความคาดหมาย"
"ดูเหมือนว่าผู้บริโภคจะมีความยับยั้งชั่งใจมากกว่าแต่ก่อน ในขณะเดียวกันก็มีแรงกระตุ้นในการใช้จ่ายน้อยกว่าแต่ก่อน" ซิลเวียกล่าว
ทั้งนี้ โพลล์ดังกล่าวได้จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้ตอบแบบสอบถามซึ่งเป็นผู้ใหญ่จำนวน 1,408 คน ระหว่างวันที่ 21-25 ก.พ. โดยมีสัดส่วนความคลาดเคลื่อนบวกลบ 3% สำนักข่าวซินหัวรายงาน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปรียพรรณ มีสุข/สุนิตา โทร.0-2253-5050 ต่อ 315 อีเมล์: sunita@infoquest.co.th--