นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมติดตามและเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่มีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานว่า ได้เร่งรัดเบิกจ่ายงบลงทุนที่เหลือในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2562 โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนเบิกจ่ายเข้าสู่ระบบอีกประมาณ 1 แสนล้านบาท โดยส่วนใหญ่ เป็นงบลงทุนของ บมจ. ปตท. (PTT) , บมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) และ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.)
"งบลงทุนรัฐวิสาหกิจในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีที่จะเข้าระบบอีก 1 แสนล้านบาท เชื่อว่าจะเป็นผลดีกับระบบเศรษฐกิจอย่างแน่นอน ส่วนจะทำให้เศรษฐกิจทั้งปีขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ 2.8% หรือไม่ ต้องขอดูก่อน"นายอุตตม กล่าว
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจให้ได้ตามเป้าหมาย ผ่านผู้แทนกระทรวงการคลังที่ได้มอบหมายให้ไปนั่งเป็นคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง รวมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เร่งติดตาม เพื่อให้การเบิกจ่ายเป็นไปตามเป้าหมายไม่น้อยกว่า 80% ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับรายงานว่า สาเหตุที่การเบิกจ่ายไม่สูงมากเพราะ ปตท.ได้กันเงินไว้ซื้อหุ้นบมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) ส่วนข้อเสนอของกลุ่มสายการบินต้นทุนต่ำ (โลว์คอสต์) ที่ขอลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันนั้น รมว.คลัง กล่าวว่า ขอเวลาให้กรมสรรพสามิตดูก่อน ซึ่งต้องคำนึงหลายปัจจัย ทั้งโครงสร้างภาคขนส่งอื่นๆ ด้วย ก็ต้องพยายามดูให้ครบทุกภาคส่วน และคาดว่าภายในปีนี้จะมีความชัดเจน
ด้านนายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า การเสนอลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันสำหรับสายการบินนั้น เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาให้รอบคอบ โดยปัจจุบันกรมสรรพสามิตมีการจัดเก็บภาษีน้ำมันเครื่องบิน (Jet-A1) ซึ่งเป็นการเก็บเฉพาะภาษีสรรพสามิต และ ภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าการจัดเก็บภาษีน้ำมันดีเซลที่มีการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง กองทุนเพื่อการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และภาษีมหาดไทย
ปัจจุบันกรมฯ จัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเครื่องบินที่ประมาณ 3,000 ล้านบาทต่อปี จากภาพรวมการจัดเก็บภาษีน้ำมันทั้งหมด 2 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งโครงสร้างการจัดเก็บยังต่ำกว่าภาษีสรรพสามิตน้ำมันประเภทอื่นอยู่มาก