นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ได้เห็นชอบกรอบการใช้เงินงบประมาณปี 63 สำหรับการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก รวม 4,289.86 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังได้อนุมัติการใช้เงินแล้ว และในจำนวนนี้ เป็นวงเงินที่จะนำมาใช้ดูแลราคาข้าวเปลือกรวม 2,572.50 ล้านบาท เพื่อดำเนิน 3 โครงการเร่งด่วน ที่จะเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนธ.ค.นี้เป็นต้นไป เพื่อดูแลราคาข้าวเปลือกที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลงในขณะนี้ หลังจากที่ผลผลิตข้าวนาปีเริ่มทยอยออกสู่ตลาดจำนวนมาก โดยเฉพาะข้าวเปลือกหอมมะลิ และจะทำควบคู่ไปกับโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 62/63
โดย 3 โครงการที่จะดำเนินการ ได้แก่ 1.โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก โดยให้สินเชื่อเกษตรกรรายบุคคล และสถาบันเกษตรกร เก็บข้าวไว้ในยุ้งฉาง เป้าหมาย 1 ล้านตันข้าวเปลือก โดยให้ค่าใช้จ่ายในการฝากเก็บตันละ 1,500 บาท วงเงิน 1,500 ล้านบาท และชดเชยดอกเบี้ยให้เกษตรกรเป็นเวลา 5 เดือน
2.โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโดยสถาบันเกษตรกร โดยสนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร เพื่อรวบรวมข้าวเปลือก เพื่อจำหน่าย และหรือเพื่อการแปรรูป โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย 1% ต่อปี รัฐบาลรับภาระดอกเบี้ย 3% ต่อปี วงเงิน 562.5 ล้านบาท
และ3.โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก เป้าหมายให้ผู้ประกอบการค้าข้าวที่เข้าร่วมโครงการรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรแล้วเก็บเป็นระยะเวลา 2-6 เดือน โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยในอัตรา 3% วงเงิน 510 ล้านบาท
"สถานการณ์ราคาข้าวเปลือกที่ปรับตัวลงเล็กน้อย ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากคุณภาพข้าว และผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกันเป็นจำนวนมาก แต่เชื่อว่า หลังจากที่ 3 มาตรการเร่งด่วน ได้นำออกมาใช้ จะช่วยผลักดันราคาให้สูงขึ้น เพราะข้อเท็จจริง ปีนี้ข้าวหอมมะลิและข้าวเหนียวมีปริมาณน้อยลงกว่าเป้าหมาย เนื่องจากสถานการณ์ภัยแล้ง อุทกภัย และการระบาดของโรคไหม้คอรวงข้าว"นายวิชัยกล่าว