นายโกมล บัวเกตุ ผู้อำนวยการกองกำกับและอนุรักษ์พลังงาน กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน(พพ.) เปิดเผยว่า ตามที่พพ.จะดำเนินการจัดทำ Platform ขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลการใช้พลังงานของแต่ละอาคารที่เข้าร่วมโครงการ และให้ผู้ประกอบการแต่ละอาคารทราบการใช้พลังงานของตัวเองที่เปรียบเทียบกับอาคารอื่นๆ และจะส่งผลให้ผู้ประกอบการเกิดการปรับเปลี่ยนหรือจัดการพลังงานในอาคารให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น
ล่าสุด พพ.เตรียมเปิดให้ผู้ประกอบการอาคารในพื้นที่ถนนอโศกมนตรีและพื้นที่ใกล้เคียงเป็นพื้นที่นำร่อง"โครงการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลพลังงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานตามกฎหมายในภาคอาคารธุรกิจตามแผนพัฒนา Electronics Monitoring ในอาคารควบคุม"หรือ CoDE@ASOKE เข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งจะเปิดรับประมาณปลายเดือนพ.ย.-ธ.ค. 62 นี้
สำหรับผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับการสนับสนุนเงินจากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2562 ไม่เกิน 40% ของการลงทุนติดตั้งระบบ Internet of Things (IoT) แต่ไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อราย โดยมีวงเงินสำหรับโครงการดังกล่าวรวม 5 ล้านบาท
นายโกมล กล่าวว่า สาเหตุที่ พพ.เลือกพื้นที่ถนนอโศกมนตรี เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีอาคารหลากหลายประเภท เช่น อาคารธุรกิจ อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า โรงพยาบาล โรงแรม สถานศึกษา ที่พักอาศัย และมีรถไฟฟ้าผ่าน ซึ่งอาจพัฒนาไปสู่เมืองอัจฉริยะ (Smart city) ได้
อย่างไรก็ตาม การจัดทำ Platform ดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการอาคารแต่ละรายติดตั้งระบบ IoT เช่น การติดเซนเซอร์ตรวจวัดการใช้พลังงานในอาคาร และจัดส่งข้อมูลดังกล่าวมาให้ พพ. ผ่านระบบ Platform ซึ่งจะประมวลผลและวิเคราะห์การใช้พลังงานในแต่ละอาคารว่าเหมาะสมหรือไม่ และต้องปรับปรุงจุดไหน จากนั้น พพ.จะส่งผลข้อมูลดังกล่าวให้ผู้ประกอบการอาคารแต่ละรายได้ทราบโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด เพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ลดต้นทุนการพลังงานแต่ละอาคารลง
ขณะเดียวกัน พพ.จะได้รับข้อมูลการใช้พลังงานปัจจุบันที่ชัดเจนและแม่นยำของแต่ละอาคาร โดยในอนาคตหากจัดเก็บข้อมูลจากทุกอาคารในประเทศได้เกือบหมด จะส่งผลภาครัฐสามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปวางแผนนโยบายพลังงานได้เหมาะสมมากขึ้นด้วย
นายโกมล กล่าวอีกว่า พพ.จัดทำ Platform ดังกล่าวขึ้น เนื่องจากคาดว่ากฎหมาย"เกณฑ์มาตรฐานการออกแบบอาคารเพื่อการประหยัดพลังงาน(Building Energy Code: BEC)" สำหรับอาคารใหม่และอาคารดัดแปลงเฉพาะเนื้อที่ขนาด 10,000 ตารางเมตรขึ้นไป จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือน ม.ค.2563 นี้ ซึ่งกฎหมายดังกล่าวจะกำหนดให้อาคารสร้างใหม่ดังกล่าวต้องส่งรายงานการใช้พลังงานมาให้ พพ.ช่วงเดือนม.ค.- มี.ค. เป็นประจำทุกปี เบื้องต้นคาดว่าจะมีจำนวน 2,000 อาคารที่ต้องจัดส่งเอกสาร ซึ่งเป็นข้อมูลจำนวนมากและต้องใช้เวลานานกว่าจะตรวจสอบข้อมูลให้ครบ ดังนั้นหากนำระบบ Platform มาใช้จะช่วยให้เก็บข้อมูลการใช้พลังงานได้แบบเรียลไทม์และประมวลผลได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ ยังเป็นการรองรับกฎหมาย BEC ดังกล่าวที่จะครอบคลุมไปถึงอาคารสร้างใหม่และอาคารดัดแปลงขนาดเนื้อที่ 5,000 ตารางเมตร ประมาณปี 2564 และครอบคลุมอาคารสร้างใหม่และอาคารดัดแปลงขนาดเนื้อที่ 2,000 ตารางเมตร ในปี 2565 ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นแห่ง ที่ต้องส่งรายงานการใช้พลังงานประจำปีมาให้กับ พพ. โดยหากอาคารทั้งหมดดังกล่าวสามารถเข้าระบบประมวลผลจาก Platform สำเร็จ คาดว่าจะช่วยให้ประเทศไทยเกิดการประหยัดพลังงานได้ 30% จากการใช้พลังงานทั้งหมด ซึ่งจะเร็วกว่าเป้าหมายที่กระทรวงพลังงานกำหนดไว้ในแผนอนุรักษ์พลังงาน(EEP) ปี 2580