นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท.กำหนดเป้าหมายลดการใช้พลาสติกในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้ลดลง 50% ภายในปี 2563 ลดขยะพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Single-use plastics) อาทิ หลอด ฝาครอบแก้ว ถุง กล่องอาหาร พร้อมทั้งส่งเสริมการใช้วัสดุสำหรับทดแทนพลาสติกและภาชนะที่สามารถใช้ซ้ำได้ เช่น การใช้ถุงผ้า กระบอกน้ำ กล่องข้าวพกพา หลอดดูดน้ำจากวัสดุธรรมชาติ การใช้ผ้าเช็ดหน้า เพื่อไม่สร้างภาระในการกำจัดให้กับแหล่งท่องเที่ยวและชุมชน
ททท.กำหนดเป็นยุทธศาสตร์หนึ่งที่มุ่งเน้นการสร้างความตระหนักถึงความสำคัญในการท่องเที่ยวที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และได้ดำเนินการเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง รณรงค์ปลูกจิตสำนึกและกระตุ้นให้นักท่องเที่ยว ร่วมกันรับผิดชอบต่อทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ลดการสร้างภาระขยะในแหล่งท่องเที่ยว
ทั้งนี้ ปัญหาขยะล้นเมืองนับเป็นปัญหาสำคัญ ที่เรื้อรังมานาน จากการสำรวจล่าสุดพบว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 5 ของโลกที่กำลังประสบปัญหาเรื่องการจัดการขยะ โดยในปีที่ผ่านมาพบว่ามีปริมาณขยะทางทะเลและขยะมูลฝอย จำนวน 27.8 ล้านตัน แบ่งเป็น ขยะพลาสติกปริมาณ 2 ล้านตัน และมีการนำมารีไซเคิลเพียงแค่ 500,000 ตัน หรือประมาณ 25% เท่านั้น ทำให้ขยะที่เหลือมีการกำจัดอย่างไม่ถูกวิธี แต่จากการที่รัฐบาลได้ออกมาตรการเพื่อแก้ปัญหาขยะทะเล และพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียว ควบคู่ไปกับการสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน ส่งผลให้ประเทศไทยสามารถปรับอันดับประเทศที่มีขยะทางทะเลสูงสุดในโลกจากอันดับ 5 ลงมาอยู่ที่อันดับ 10 ได้สำเร็จ
ดังนั้น (ททท.) ร่วมกับบมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) และเทศบาลเมืองพัทยา จัดทำโครงการ "ลดโลกเลอะ x รักษ์ปันสุข" ด้วยการรวมพลังและความร่วมมือในการลดใช้พลาสติก และหมุนเวียนใช้ให้เกิดประโยชน์โดย ททท. และบางจากฯ ขอเชิญชวนนักเดินทางร่วมบริจาคขวด PET ที่สถานีบริการน้ำมันบางจาก เพื่อนำมาสร้างสรรค์งานประติมากรรมรูป "เต่ามะเฟืองแม่ลูก" สัตว์สงวนที่ได้รับผลกระทบจากขยะพลาสติก ขนาด 8x8 เมตร ณ บริเวณริมชายหาดจอมเทียน พัทยา จ.ชลบุรี เป็นระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่เดือนธ.ค.62 -มิ.ย.63 เพื่อเป็นสัญลักษณ์รณรงค์การท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม โดยจะจัดงานเปิดตัวประติมากรรมอย่างเป็นทางการในวันที่ 18 ธ.ค.62
ด้านนายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ของ BCP เปิดเผยว่า บริษัทเน้นการนำนวัตกรรมมาเพิ่มคุณค่าให้กับทรัพยากรธรรมชาติเพื่อสร้างความยั่งยืน ยึดแนว BCG Economy Model สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเน้น Green Economy (เศรษฐกิจสีเขียว) มุ่งแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นกรอบใหญ่ ครอบคลุม Bio Economy (เศรษฐกิจชีวภาพ) เน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และ Circular Economy (เศรษฐกิจหมุนเวียน) ที่ใช้วัสดุจากผลิตภัณฑ์ชีวภาพหรือวัสดุหมุนเวียน โดยได้ใช้แนวคิดนี้ในทุกกระบวนการธุรกิจของบริษัท ได้แก่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20S และ ไฮพรีเมียมดีเซล S ที่ได้มาตรฐาน Euro 5 รวมทั้งการริเริ่มใช้แก้ว ฝา และหลอด ที่ย่อยสลายได้ 100% ในร้านอินทนิล เป็นต้น
นอกจากนั้น บริษัทยังได้ริเริ่มโครงการ "รักษ์ ปัน สุข" จัดให้สถานีบริการน้ำมันบางจากเป็นจุดรวบรวมขวด PET นำไปรีไซเคิลเป็นเส้นใย ผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ เพื่อสาธารณประโยชน์ โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้ส่งมอบหมวกกันแดดผลิตจากเส้นใยรีไซเคิลจากขวดพลาสติก PET ให้กับกรุงเทพมหานคร (กทม.) เพื่อนำไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่ด้านรักษาความสะอาดและสวนสาธารณะของกทม. จำนวน 50 เขต รวมจำนวน 11,000 ใบ
ในโอกาสครบรอบ 35 ปีบางจาก บริษัทได้ต่อยอดโครงการรักษ์ ปัน สุข ด้วยการร่วมมือกับ ททท. จัดทำโครงการ "ลดโลกเลอะ x รักษ์ปันสุข" เพื่อรณรงค์การลดขยะพลาสติกกับกลุ่มนักเดินทาง โดยจัดจุดรวบรวมและรับบริจาคขวดน้ำดื่ม PET ที่สถานีบริการน้ำมันบางจาก ในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล ชลบุรี ระยอง จันทบุรี จำนวน 262 จุด เพื่อนำขวด PET ไปสร้างประติมากรรมรูปเต่ามะเฟืองแม่ลูก พร้อมนิทรรศการให้ความรู้ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเป็นเวลา 6 เดือน หลังจากนั้น จะนำขวดพลาสติกทั้งหมดไปรีไซเคิลผลิตเป็นหมวกกันแดดเพื่อส่งมอบให้เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครที่ดูแลรักษาความสะอาดในเมืองพัทยานำไปใช้ประโยชน์ต่อไป
นายมาโนช หนองใหญ่ รองนายกเมืองพัทยา กล่าวว่า เมืองพัทยา เป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลกและถือเป็นส่วนหนึ่งในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ โดยมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมากจากทั่วทุกมุมโลก สามารถตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวได้ในทุกรูปแบบ ทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม นักท่องเที่ยวสามารถท่องเที่ยวได้ตลอด 24 ชั่วโมง และครอบคลุมทุกอายุ ด้วยเหตุนี้พัทยาจึงได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการจัดการปัญหาขยะในทะเลโดยตรง ซึ่งส่งผลกระทบกับสัตว์ทะเลโดยตรง
"ในส่วนของเมืองพัทยาเอง เล็งเห็นความสำคัญของการลดขยะเป็นพันธกิจลำดับต้น ๆ ที่เมืองพัทยากำลังดำเนินงานอยู่แล้ว พัทยาจึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะจัดสรรพื้นที่ในการติดตั้ง ประติมากรรม "เต่ายักษ์" บริเวณโค้งดงตาน หาดจอมเทียน เมืองพัทยา ซึ่งเป็นจุดที่มีนักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวพักผ่อนเป็นจำนวนมาก เชื่อว่าประติมากรรมชิ้นนี้จะช่วยดึงดูดความสนใจ และสามารถสื่อสารไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย ต่างชาติ รวมไปถึงชาวพัทยาทุกคนได้เป็นอย่างดี เพื่อสร้างจิตสำนึกเรื่องการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ ร่วมมือกันดูแลชายหาดเมืองพัทยาให้สะอาดสวยงาม ลดการใช้ทรัพยากร ลดขยะพลาสติกให้ได้มากที่สุด"นายมาโนช กล่าว