นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ยกเลิกมาตรการสำรอง 30% เงินทุนนำเข้าระยะสั้นมีผล 3 มี.ค.นี้เนื่องจากสถานการณ์แวดล้อมต่าง ๆ เอื้ออำนวยแล้ว พร้อมทั้งประกาศมีมาตรการต่าง ๆ รองรับสถานการณ์ ทั้งมาตรการสกัดการเก็งกำไรและมาตรการชั่วคราวเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย ขณะที่เงินบาทแกว่งตัวแรงแข็งค่ารับยกเลิกมาตรการ 30% ไปแตะ 31.40-31.60 บาท/ดอลลาร์
ธปท.ระบุว่า มาตรการรองรับการบริหารจัดการการไหลเข้า-ออกของเงินทุนหลักการยกเลิกมาตรการ รวมทั้งมีมาตรการติดตามข้อมูลและป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินธปท. ซึ่งได้แก่ การสนับสนุนการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ โดยเพิ่มวงเงินให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)เป็น 30 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อจัดสรรให้กับ บล. บลจ. รวมทั้งบุคคลธรรมดาที่ลงทุนผ่านกองทุนส่วนบุคคลหรือผ่าน บล. ในการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ
และปรับปรุงมาตรการป้องปราบการเก็งกำไรค่าเงินบาทที่สำคัญ คือ ปรับเกณฑ์การกู้ยืมเงินบาทของสถาบันการเงินในประเทศจากผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศ โดยลดวงเงินกู้ยืมโดยไม่มีธุรกรรมรองรับทุกอายุสัญญาให้มียอดคงค้างแต่ละสถาบันการเงินไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อกลุ่มผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศ เพื่อจำกัดช่องทางการเก็งกำไร
รวมทั้ง ปรับเกณฑ์การจำกัดการปล่อยสภาพคล่องเงินบาทของสถาบันการเงินในประเทศแก่ผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศ โดยไม่มีธุรกรรมรองรับ ให้มียอดคงค้างแต่ละธนาคารไม่เกิน 300 ล้านบาทต่อกลุ่มผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศเพื่อเพิ่มความต้องการซื้อเงินตราต่างประเทศ
ธปท.ยังปรับปรุงโครงสร้างบัญชีผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศ โดยเยกประเภทบัญชีเงินบาทออกเป็นบัญชีเพื่อการลงทุนในหลักทรัพย์และตราสารทางการเงินอื่น และบัญชีเพื่อวัตถุประสงค์อื่น เพื่อประโยชน์ในการติดตามการไหลเข้า-ออกของเงินทุน โดยเงินบาทในแต่ละประเภทบัญชีสามารถโอนระหว่างประเภทบัญชีเดียวกันได้ แต่ห้ามโอนข้ามประเภทบัญชี
นางธาริษา กล่าวว่า ธปท.ยังมีมาตรการชั่วคราวเพื่อสนับสนุนการปรับตัวและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิของผู้ประกอบการรายย่อย(SME) โดยจัดโครงการเพิ่มประสิทธิภาพ 3 ปี ด้วยการให้สินเชื่อดอกเบี้ยผ่อนปรนผ่านสถาบันการเงินรวม 4 หมื่นล้านบาท และจัดโครงการรับซื้อต่อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าที่ผู้ประกอบการรายย่อยขายผ่านสถาบันการเงิน เป็นเวลา 6 เดือน
--อินโฟเควสท์ โดย อตฦ/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--