นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้ปรับปรุงข้อมูล "สินเชื่อภาคเอกชนของสถาบันรับฝากเงิน" (Depository Corporations Private Credits) โดยเปลี่ยนชื่อเป็น "เงินกู้ยืมและตราสารหนี้ภาคเอกชน" (Private Credits) โดยขยายความครอบคลุมเพิ่มข้อมูลในส่วนการระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ สินเชื่อของข้อมูลสถาบันการเงินอื่นที่ไม่ได้รับฝากเงิน และสินเชื่อจากต่างประเทศ
ทั้งนี้ เนื่องจากปัจจุบันตลาดการเงินพัฒนาไปมาก ภาคเอกชนมีช่องทางในการระดมทุนมากมาย สถาบันรับฝากเงินไม่ใช่หน่วยเศรษฐกิจเพียงรายเดียวที่เป็นแหล่งเงินทุน แต่หน่วยเศรษฐกิจอื่นก็สามารถเป็นแหล่งเงินทุนได้ จึงเป็นที่มาหลักของการทบทวนเครื่องชี้ดังกล่าวให้สะท้อนภาวะปัจจุบันมากขึ้น
สินเชื่อภาคเอกชนของสถาบันรับฝากเงิน (Depository Corporations Private Credits) ตามนิยามแบบเดิม ในเดือน ต.ค.62 มีค่าเท่ากับ 18.7 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 112% ของ GDP เมื่อปรับปรุงสถิติเงินกู้ยืมและตราสารหนี้ภาคเอกชน ตามนิยามใหม่แล้ว ข้อมูลจะเพิ่มขึ้นเป็น 24.6 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 147% ของ GDP
"การเพิ่มขึ้น มาจากการขยายความครอบคลุมของแหล่งระดมทุนของภาคเอกชนที่เพิ่มมากขึ้น ถือเป็นการนับรวมข้อมูลที่มีอยู่แล้ว ไม่ใช่อยู่ๆ ก็มีการก่อหนี้เพิ่มขึ้น ข้อมูลชุดใหม่นี้จะเริ่มเผยแพร่ตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน 2562 มีความถี่เป็นรายเดือน โดยมีย้อนหลังไปถึงเดือนมกราคม 2554 เป็นต้นมา" นายดอนกล่าว
พร้อมระบุว่า องค์ประกอบใหม่ของสถิติเงินกู้ยืมและตราสารหนี้ภาคเอกชน ส่วนใหญ่มีการเผยแพร่อยู่แล้ว แต่กระจายอยู่ในรายการย่อยของตารางสถิติหลายแห่ง เช่น ตารางสถิติการเงิน ตารางสถิติฐานะการลงทุนระหว่างประเทศ ตารางข้อมูลยอดคงค้างการถือครองตราสารหนี้ (ศูนย์ข้อมูลตราสารการเงินแห่งประเทศไทย) เป็นต้น ผู้ใช้บางท่านอาจมีการรวบรวมองค์ประกอบดังกล่าวและประมวลผลใหม่ขึ้นเองสำหรับสถิติเงินกู้ยืมและตราสารหนี้ภาคเอกชน
"กล่าวอีกนัยหนึ่ง การปรับปรุงสถิติครั้งนี้ นอกจากเพื่อให้สอดคล้องตามมาตรฐานสากลแล้ว ยังถือเป็นรวบรวมประมวลผลสถิติเงินกู้ยืมและตราสารหนี้ภาคเอกชน อย่างเป็นทางการ เพื่อง่ายต่อผู้ใช้งานในวงกว้าง" นายดอนระบุ