นายวัชระ กรรณิการ์ โฆษกกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยผู้แทนภาคประชาชน ร่วมแถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะทำงานเพื่อพลังงานที่เป็นธรรม ซึ่งมีปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธาน โดยที่ประชุมได้พิจารณาประเด็นสำคัญเรื่อง ราคาอ้างอิงหน้าโรงกลั่นน้ำมัน ที่เป็นการอ้างอิงการนำเข้าจากตลาดสิงคโปร์ (Import Parity) ว่าเกณฑ์ดังกล่าวยังมีความเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร หากไม่เหมาะสมควรมีการปรับเปลี่ยนเกณฑ์ในแนวทางใด หรืออาจจะยกเลิกเกณฑ์ดังกล่าวได้หรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้จะได้มีการหารือในทางเทคนิคต่อไป โดยจะมีผู้แทนของทางภาครัฐและภาคประชาชนที่เข้าร่วมพิจารณาทางเทคนิคฝ่ายละ 3 คนเพื่อดำเนินการให้ได้ตัวเลขการปรับปรุงที่เป็นรูปธรรมเพื่อนำผลการหารือเข้าที่ประชุมในครั้งหน้าวันที่ 13 ธ.ค.62
ทั้งนี้ บรรยากาศการหารือเป็นไปด้วยดี มีการแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา และยังมีตัวแทนภาคธุรกิจในส่วนของโรงกลั่นน้ำมันร่วมให้ข้อมูลที่ถือเป็นสารตั้งต้นสำหรับเดินหน้าให้ได้ราคาพลังงานที่เป็นธรรมในที่สุด
นางสาวรสนา โตสิตระกูล ผู้แทนภาคประชาชนในคณะทำงานฯ กล่าวว่า วันนี้ได้เชิญตัวแทนโรงกลั่นมาชี้แจงสูตรหน้าโรงกลั่น คือราคานำเข้าจากสิงคโปร์บวกค่าขนส่ง ค่าประกันภัย ค่าสูญเสียระหว่างเดินทางเข้ามา ซึ่งนอกจากค่าดำเนินการเหล่านี้แล้ว ยังมีค่าปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน ค่าใช้จ่ายสำรองน้ำมันเพื่อความมั่นคง ค่าใช้จ่ายคลังและค่าลำเลียง ซึ่งเหล่านี้ถือเป็นต้นทุน โดยการพิจารณาทางเทคนิคก็จะมาดูว่าจะปรับเปลี่ยนได้อย่างไรบ้าง ทั้งนี้ เพื่อจะทำให้ราคาน้ำมันเปลี่ยนแปลงลดลง เพราะราคาน้ำมันถือเป็นตันทุนทางตรงทั้งต่อภาคการผลิต และค่าครองชีพของประชาชน
ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ผู้แทนภาคประชาชนในคณะทำงานฯ กล่าวว่า ข้อเสนอภาคประชาชนคือ ประเทศไทยได้ส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปแล้วหลายปี มูลค่าส่งออกเมื่อปีที่แล้วประมาณ 3 แสนล้านบาท ซึ่งเมื่อสามารถส่งออกได้จำนวนมากจึงต้องการให้ราคาการอ้างอิงราคาหน้าโรงกลั่นเป็นการอ้างอิงราคาส่งออกน้ำมันไปสิงคโปร์ซึ่งถูกกว่าเป็นหลัก แทนการอิงราคานำเข้าแบบเดิม
หลักการหารือในครั้งนี้ก็เป็นการพูดคุยเริ่มตั้งแต่ต้นทางของราคาน้ำมันก่อนบวกภาษี ซึ่งหากได้ข้อสรุปของเรื่องสูตรการกำหนดราคาหน้าโรงกลั่น ก็จะทำให้ภาครัฐมีบรรทัดฐานในการกำกับดูแลประเด็นต่อ ๆ ไปได้อย่างโปร่งใส