นายมนตรี โสคติยานุรักษ์ รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การเงินการคลัง เชื่อว่า หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% แล้ว ค่าเงินบาทอาจจะแข็งค่าขึ้นไปแตะระดับ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้ เนื่องจากความต้องการเงินบาทจะเพิ่มมากขึ้นจากความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจของไทยจะมีทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งทางการควรปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของตลาด เพราะจะเป็นการสะท้อนภาวะเศรษฐกิจที่ชัดเจน
"หากเป็นการผันผวนจากการเก็งกำไรหรือเป็นไปอย่างผิดปกติ ทางการจึงค่อยเข้าไปบริหารจัดการ แต่เชื่อว่าหลังจากนี้อัตราแลกเปลี่ยนคงจะไม่ได้ผันผวนมากนัก เพราะมีมาตรการของ ธปท.ที่ประกาศใช้เมื่อเดือนสิงหาคม 2550 จำนวน 6 มาตรการเป็นส่วนที่รองรับ ซึ่งแบ่งเป็นมาตรการลดความต้องการเงินบาท 3 มาตรการ และเพิ่มเงินบาทในระบบ 3 มาตรการ และล่าสุดยังมีการประกาศมาตรการเพิ่มอีกประมาณ 2-3 มาตรการซึ่งจะมีผลในวันที่ 3 มีนาคม 2551 เพื่อป้องกันการผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน" นายมนตรี กล่าว
สำหรับผู้ประกอบการในส่วนของภาคเอกชนที่จะได้รับผลกระทบทั้งในแง่บวกและลบจากความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทนั้น จุดสำคัญที่สุดอยู่ที่การเพิ่มศักยภาพในด้านการผลิต รวมถึงการลดต้นทุน ซึ่งหากสามารถลดต้นทุนได้ 10% ก็จะช่วยทดแทนการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินไปได้ถึง 10% ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันในระดับสากลได้
อย่างไรก็ดี มองว่าการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ของ ธปท.จะส่งผลดีต่อภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยพอสมควร ซึ่งคาดว่าดัชนีราคาหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นรับข่าวดังกล่าวในช่วง 2-3 วันแรกของการซื้อขายในช่วงต้นสัปดาห์ ก่อนที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะการยกเลิกมาตรการดังกล่าวมีผลในเชิงจิตวิทยาทำให้นักลงทุนต่างชาติต้องการเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ ในปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติต้องการโยกย้ายเงินลงทุนมายังภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพ(ซับไพร์ม) ในสหรัฐ ประกอบกับการถดถอยของเศรษฐกิจอยู่แล้วจึงส่งผลให้เศรษฐกิจของสหรัฐปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว และการขยายตัวอย่างร้อนแรงของเศรษฐกิจจีน ทำให้เม็ดเงินลงทุนต้องแสวงหาที่ซึ่งให้ผลตอบแทนได้ดีและมีความปลอดภัยกว่า ซึ่งต้องยอมรับว่า ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น(P/E Ratio) ของตลาดหุ้นไทยที่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ
"ขณะนี้ตลาดหุ้นไทยมีค่า P/E Ratio อยู่ที่ 10-12 เท่า ซึ่งค่อนข้างต่ำมาก เมื่อเทียบกับยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา ที่จะอยู่ในราว 20 เท่า ขณะที่เพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชีย อยู่ที่ประมาณ 15 เท่า ส่วน P/E Ratio ของตลาดหุ้นเวียดนาม สูงถึง 80 เท่า เช่นเดียวกับจีนที่ค่า P/E Ratio สูงถึง 40 เท่า ดังนั้นตลาดหุ้นไทยจึงถือว่าได้เปรียบเพราะสะท้อนให้เห็นถึงราคาหุ้นที่ยังต่ำอยู่มาก ประกอบกับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีและมีโอกาสในการทำกำไรที่สูงในอนาคต ตามภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น ดังนั้น จึงเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างชาติเพิ่มมากขึ้น" นายมนตรี กล่าว
นายมนตรี กล่าวต่อว่า นอกจากการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% จะส่งผลดีกับตลาดหุ้นไทยแล้ว ยังจะส่งผลดีต่ออัตราแลกเปลี่ยนด้วย โดยจะทำให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพมากขึ้น และสะท้อนภาวะเศรษฐกิจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เนื่องจากขณะที่มาตรการกันสำรอง 30% มีผลบังคับใช้อยู่นั้น ประเทศไทยมีอัตราแลกเปลี่ยน 2 อัตราซ้อนกันอยู่ นั่นคือ อัตราแลกเปลี่ยนที่ซื้อขายกันในประเทศหรือออนชอร์(onshore) และอัตราแลกเปลี่ยนซื้อขายกันในต่างประเทศหรือออฟชอร์(offshore) ซึ่งเกิดช่องว่างระหว่างสองอัตราห่างกันถึง 10% โดย offshore จะแข็งค่ากว่า ส่งผลให้ผู้ส่งออกและนำเข้าไม่สามารถหาอัตราแลกเปลี่ยนที่แน่นอนในการอ้างอิงกับคู่ค้าต่างประเทศไทย เพราะต่างฝ่ายต่างก็ใช้อัตราที่ตนเองได้ประโยชน์สูงสุด
--อินโฟเควสท์ โดย คลฦ/รัชดา/ธนวัฏ โทร.0-2253-5050 ต่อ 325 อีเมล์: tanawat@infoquest.co.th--