นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยแผนการทำงานปี 2563 กรมฯ ได้กำหนดแผนงานสำคัญออกเป็น 2 ด้าน ดังนี้ ด้านแรก การเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เพื่อขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนของไทย ประกอบด้วย (1) เร่งทำงานร่วมกับสมาชิก RCEP อีก 15 ประเทศ เพื่อขัดเกลาถ้อยคำทางกฎหมายความตกลง RCEP และหาข้อสรุปประเด็นคงค้างของอินเดียให้เป็นที่พอใจร่วมกัน ให้เสร็จภายในครึ่งแรกของปี 2563 เพื่อให้รัฐมนตรี RCEP ลงนามความตกลงร่วมกันได้ในปีดังกล่าว ตามที่ผู้นำ RCEP ตั้งเป้าไว้ในการประชุมสุดยอดอาเซียน เมื่อเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา
(2) เร่งเจรจาปิดรอบความตกลง FTA ที่ค้างอยู่ ทั้งไทย-ตุรกี ไทย-ศรีลังกา และไทย-ปากีสถาน โดยเฉพาะไทย-ตุรกี ที่ทั้งสองฝ่ายตั้งใจสรุปผลการเจรจาให้ได้ในปี 2563
(3) เตรียมการเข้าร่วมการเจรจา FTA กรอบใหม่ๆ เนื่องจากหลังจากการเลือกตั้งของไทยเมื่อเดือนมีนาคม 2562 มีประเทศคู่ค้าหลายประเทศแสดงความสนใจจะทำ FTA กับไทย ซึ่งไทยเล็งเห็นประโยชน์และโอกาสทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นกับการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมของไทยไปตลาดใหม่ๆ รวมทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ๆ ผ่านการลงทุนของต่างประเทศ โดยกรมฯ จะต้องทำการศึกษา ระดมความเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง และเสนอคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) และคณะรัฐมนตรีพิจารณาตัดสินใจ เช่น FTA ไทย-สหภาพยุโรป ไทย-สหราชอาณาจักร (ภายหลังเบร็กซิท) CPTPP ไทย-EFTA (สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ลิกเทนสไตน์ และไอซ์แลนด์) ไทย-EAEU (รัสเซีย เบลารุส คีร์กีซสถาน คาซัคสถาน และอาร์เมเนีย) เป็นต้น
(4) ยกระดับหรือทบทวนปรับปรุงความตกลง FTA ที่ไทยทำแล้วกับหลายประเทศในปัจจุบัน เพื่อเปิดเสรีเพิ่มเติม หรือผนวกเพิ่มข้อบทใหม่ๆ ในความตกลง เพื่อให้เท่าทันสภาพแวดล้อมและรูปแบบทางการค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน เช่น อาเซียน-จีน อาเซียน-อินเดีย อาเซียน-เกาหลี อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ เป็นต้น
และ (5) เข้าร่วมหรือเป็นเจ้าภาพจัดประชุมคณะกรรมการการค้า (JTC) กับประเทศคู่ค้า เพื่อเป็นเวทีความร่วมมือและเจรจาลดปัญหาอุปสรรคทางการค้าของไทย เช่น สปป.ลาว กัมพูชา เมียนมา เวียดนาม สิงคโปร์ รัสเซีย บังคลาเทศ มัลดีฟส์ และโมซัมบิก เป็นต้น
ด้านที่ 2 การเสริมสร้างความรู้และความพร้อมรองรับการใช้ประโยชน์จากความตกลง FTA กรมฯ จะสานต่อการทำงานร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร เช่น กรมส่งเสริมสหกรณ์ สภาเกษตรกรแห่งชาติ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือฯ สภาหอการค้าฯ สภาอุตสาหกรรมฯ เป็นต้น อย่างต่อเนื่อง โดยการจัดสัมมนาเผยแพร่และสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่อง FTA ตลอดจนลงพื้นที่พบปะกลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ และผู้ประกอบการอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างความเข้าใจ และสร้างความตื่นตัวในการใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอ
ซึ่งในปี 2563 กรมฯ มีแผนการทำงาน ดังนี้ (1) ลงพื้นที่จัดสัมมนาและพบปะเกษตรกรในเครือข่ายของสภาเกษตรกรแห่งชาติ เพื่อเพิ่มศักยภาพเกษตรกรไทยในยุคการค้าเสรี โดยเฉพาะในสินค้าที่พื้นที่มีศักยภาพ โดยดำเนินการใน 6 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี บุรีรัมย์ นครสวรรค์ สงขลา ระยอง และอุตรดิตถ์ (2) ลงพื้นที่จัดสัมมนาและพบปะกลุ่มสหกรณ์ในเครือข่ายของกรมส่งเสริมสหกรณ์ เพื่อเตรียมความพร้อมสหกรณ์ไทยสู่การค้าเสรีใน 4 จังหวัด ได้แก่ ตาก ชัยภูมิ ตราด และกระบี่ (3) ร่วมกับศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) สร้างเครือข่ายเชื่อมโยงสินค้าศักยภาพ 3 จังหวัดชายแดนใต้สู่ตลาดโลก โดยจะดำเนินการที่จังหวัดปัตตานี และยะลา (4) โครงการจัดทัพโคนมไทยบุกตลาดต่างประเทศด้วย FTA เพื่อเตรียมความพร้อมเกษตรกรและผู้ประกอบการโคนมไทยรับมือการเปิดเสรี และ (5) การประกวดแผนธุรกิจของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ผ่านการอบรมให้ความรู้ในการทำแผนธุรกิจ เพื่อส่งออกสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปของไทยไปตลาดอาเซียน และจีน
ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยมี FTA 13 ฉบับ กับ 18 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เปรู ชิลี อินเดีย ฮ่องกง ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ โดยในปี 2561 การค้าไทยกับ 18 ประเทศ มีมูลค่ากว่า 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวจากปีก่อนหน้ากว่า 11% คิดเป็นสัดส่วน 60% ของมูลค่าการค้าไทยกับโลก
สำหรับช่วง 10 เดือนแรกของปี 2562 (มกราคม – ตุลาคม) การค้าไทยกับ 18 ประเทศ FTA มีมูลค่า 253,898.1 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 62.4% ของมูลค่าการค้าไทยกับโลก โดยไทยส่งออก 128,271.2 ล้านเหรียญสหรัฐ นำเข้า 125,626.9 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญของไทย เช่น รถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก อัญมณีและเครื่องประดับ และน้ำมันสำเร็จรูป เป็นต้น สินค้านำเข้าสำคัญของไทย เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ และส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ เป็นต้น