นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ยืนยันว่าไม่ได้เลื่อนการบังคับใช้กฎหมายภาษีที่ดิน ทุกอย่างยังมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 2563 เหมือนเดิม แต่กระบวนการเสียภาษีจะเริ่มต้นในวันที่ 1 พ.ค.เพื่อตรวจสอบ และทำการเสียภาษีในเดือน ส.ค.
การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไม่ได้เลื่อนกำหนดออกไป เพราะเป็นการจัดเก็บภาษีปีละ 1 ครั้ง แต่เพื่อความพร้อมที่สุด กระทรวงมหาดไทยจึงใช้อำนาจตามกฎหมายขอขยายเวลาออกไป 4 เดือน จากเดิมที่จะต้องเสียภาษีในเดือน เม.ย.2563 ออกไปเป็นเดือน ส.ค.2563 แทน เพื่อให้หน่วยงานจัดเก็บภาษีท้องถิ่น ซึ่งมีอยู่กว่า 7,000 แห่ง ซึ่งบางแห่งก็มีความพร้อมมาก ขณะที่บางแห่งยังดำเนินการไม่ทัน ให้สามารถอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนผู้เสียภาษีพร้อมกันทั้งประเทศ
"มหาดไทยได้หารือกับคลังมาตลอด การขยายระยะเวลาออกไปอีก 4 เดือน หมายความว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่เดือน ม.ค.2563 ก็มีเวลาหายใจไปเดือน พ.ค. การเสียภาษีจึงขยับไป ส.ค.2563 แต่สุดท้ายก็จ่ายอยู่ดี แค่ขยับเวลาออกไป 4 เดือน ทุกกระบวนการมีเวลาหายใจเพิ่มขึ้น ท้องถิ่น 7 พันกว่าแห่ง มีทั้งที่ดำเนินการทันและไม่ทัน โดยส่วนใหญ่เป็นท้องถิ่นขนาดเล็ก" นายลวรณ กล่าว
นอกจากนี้ ในขั้นตอนกฎหมายภาษีที่ดินยังต้องมีการออกกฎหมายลูกอีก 19 ฉบับ แบ่งเป็นของกระทรวงการคลัง 8 ฉบับ โดย ดำเนินการเสร็จแล้ว 7 ฉบับ ส่วนอีก 1 ฉบับที่เกี่ยวกับการกำหนดอัตราภาษีที่จะจัดเก็บจะออกภายใน 2 ปีที่มีการจัดเก็บภาษี หรือออกภายในปี 2565
ส่วนที่เหลืออีก 11 ฉบับ เป็นของกระทรวงมหาดไทย 6 ฉบับ โดย 2 ฉบับเสร็จแล้ว อีก 4 ฉบับเพิ่งผ่านคณะรัฐมนตรี (ครม.) ล่าสุด ส่วนอีก 5 ฉบับที่เหลือเป็นกฎหมายร่วมระหว่างกระทรวงการคลังและมหาดไทยที่ต้องลงนามร่วมกัน โดย 4 ฉบับ รมว.คลังลงนามเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างรอมหาดไทยลงนาม เหลืออีก 1 ฉบับเกี่ยวกับพื้นที่เกษตร ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ต้องให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็น คาดว่าจะออกได้ภายในสิ้นปีนี้
"ระหว่างนี้ประชาชนที่ได้รับจดหมายให้จ่ายภาษีก็ตรวจสอบข้อมูลว่าถูกต้องตามที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างที่ครอบครองหรือไม่ หากไม่ถูกต้องก็สามารถดำเนินการอุทธรณ์ได้ภายใน 30 วันนับจากวันที่มีการประเมิน หรือวันที่ได้รับหนังสือ" นายลวรณ กล่าว
ผู้อำนวยการ สศค. กล่าวว่า คลังประมาณการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นปีแรกได้ 4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะจัดเก็บได้ 3 หมื่นล้านบาท
"การเลื่อนจัดเก็บภาษีไม่มีผลต่อรายได้ในภาพรวม ซึ่งการจัดเก็บภาษีเป็นหน้าที่ของมหาดไทยรับผิดชอบ ส่วนคลังทำหน้าที่ในการให้ความรู้แก่ผู้เสียภาษี"