YLG คาดราคาทองปี 63 มีลุ้นพุ่งแตะนิวไฮของปี 56 ที่ 23,100 บาท จับตาปัจจัยสงครามการค้าหนุน

ข่าวเศรษฐกิจ Monday December 16, 2019 15:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า แนวโน้มราคาทองคำปี 63 ยังต้องจับตาดูประเด็นเรื่องสงครามการค้าต่อเนื่อง เพราะแม้ว่าในระยะยาวยังไม่มีความชัดเจน แต่หากทั้ง 2 ประเทศหาข้อยุติได้อาจเกิดแรงขายทองคำได้ จึงต้องประเมินสถานการณ์เป็นระยะ อย่างไรก็ตาม คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐยังคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ซึ่งจะทำให้ตลาดทองคำยังคงได้รับความสนใจ

และหากราคาทองในปี 63 สามารถทรงตัวรักษาระดับเหนือ 1,445-1,390 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ หรือ 20,600-19,850 บาทต่อบาททองคำ ก็จะยังมีโอกาสที่ราคาจะแตะระดับที่เคยขึ้นไปสูงสุดของปี 62 บริเวณ 1,557-1,535 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 22,250-21,900 บาทต่อบาททองคำ อีกทั้งหากทรงตัวในระดับนี้ได้จะมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปต่อที่ระดับ 1,603-1,616 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 22,900-23,100 บาทต่อบาททองคำ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของราคาที่เคยขึ้นไปในช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย.56

"การเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐจะกลายเป็นปัจจัยกดดันทองคำก็ต่อเมื่อเกิดความคืบหน้ามากพอจะทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเปลี่ยนจุดยืนการดำเนินนโยบายการเงินจากการผ่อนคลายนโยบายการเงินไปสู่การกลับมาคุมเข้มนโยบายการเงิน ตราบใดที่ทั้ง 2 ประเทศยังไม่สามารถแก้ปัญหาในประเด็นหลักที่เกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าได้ ก็จะเป็นปัจจัยหนุนทองคำที่อยู่ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย พร้อมกับสนับสนุนให้ธนาคารกลางทั่วโลกเดินหน้าผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไป ซึ่งจะช่วยหนุนราคาทองคำต่อไปในปี 63"นางพวรรณ์ กล่าว

นางพวรรณ์ กล่าวว่า สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดผลกระทบที่ล้วนแล้วแต่ส่งผลหนุนราคาทองคำในตลาดโลกให้ปรับตัวขึ้นถึง 15% ในปี 62 ส่วนราคาทองคำในประเทศให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 7.4% เนื่องจากสงครามการค้าที่ยืดเยื้อส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวลงจนทำให้เกิดความวิตกต่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอนาคตส่งผลกระตุ้นแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ อีกทั้งยังเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินธนาคารกลางทั่วโลกไปสู่แนวโน้มเชิงผ่อนคลาย

นอกจากนี้ ยังเป็นที่มาที่ทำให้เกิดกระแสเงินทุนไหลเข้าทองคำ สะท้อนจากการถือครองทองคำจากกองทุน ETF ทั่วโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น พร้อมๆกับแรงเก็งกำไรของนักลงทุนในตลาดฟิวเจอร์ส COMEX ไม่เพียงเท่านั้นธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกยังเพิ่มสัดส่วนการถือครองทองคำในพอร์ตเงินทุนสำรองระหว่างประเทศอีกด้วย

ล่าสุด จีนและสหรัฐมีการบรรลุข้อตกลงการค้า Phase one ร่วมกัน ทำให้จีนรอดพ้นจากการถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้ารอบใหม่ในอัตรา 15% ต่อสินค้าจีนวงเงิน 1.56 แสนล้านดอลลาร์ในวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมา แต่ราคาทองคำไม่ได้ปรับตัวลดลงจากการประกาศดังกล่าวมากนัก ส่วนหนึ่งเพราะตลาดรับรู้ข่าวนี้ไปบ้างแล้ว ประกอบกับสหรัฐยังเก็บภาษี 25% ต่อสินค้าจีนวงเงิน 2.5 แสนล้านดอลลาร์ต่อไป แม้ว่าจะลดภาษีต่อสินค้าจีนวงเงิน 1.2 แสนล้านดอลลาร์ลงเหลือ 7.5% แต่ภาษีนำเข้าส่วนใหญ่ยังมีผลบังคับใช้อยู่ สะท้อนข้อตกลงการค้า Phase One ไม่ดีมากพอจะทำให้ตลาดมั่นใจต่อสถานการณ์ในอนาคต นักลงทุนบางส่วนจึงยังคงถือครองทองคำที่อยู่ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยเพื่อป้องกันความเสี่ยง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ