ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ระบุว่า เศรษฐกิจกลุ่มประเทศ CLMV จะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงราว 6-7% ในปี 2562 และ 2563 จากสถานการณ์การค้าโลกที่ยังมีความไม่แน่นอนและการเติบโตที่ชะลอลงในประเทศเศรษฐกิจหลักส่งผลกระทบผ่านการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ชะลอตัว
โดยเศรษฐกิจ CLMV ยังคงเผชิญความเสี่ยงรายประเทศทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก โดยกัมพูชาและเมียนมาอาจถูกสหภาพยุโรปถอนสิทธิพิเศษทางการค้า EBA ซึ่งจะทำให้ทั้งสองประเทศสูญเสียความได้เปรียบด้านการส่งออกในระยะกลาง ลาวยังคงมีความเสี่ยงจากปัญหาหนี้สาธารณะที่สูง ในขณะที่เวียดนามอาจเผชิญนโยบายกีดกันการค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น หากกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีเวียดนามเป็นประเทศผู้บิดเบือนค่าเงิน
สำหรับเศรษฐกิจกัมพูชา มีแนวโน้มเติบโตชะลอลงมาอยู่ที่ 6.8% ในปี 2563 จากสถานการณ์การค้าโลกที่ชะลอตัว โดยภาคการท่องเที่ยวและการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศเติบโตชะลอลงแต่ฐานะการคลังและภาคการส่งออกยังคงแข็งแกร่ง อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงที่จะสูญเสียสิทธิพิเศษ EBA ยังคงมีอยู่สูงและอาจส่งผลลบต่อการส่งออกไปยังสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักที่ใหญ่ที่สุดของกัมพูชา นอกจากนี้การขยายตัวอย่างรวดเร็วของสินเชื่อรายย่อย (ไมโครไฟแนนซ์) อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินในอนาคต
เศรษฐกิจลาว จะขยายตัวประมาณ 6.5% ในปี 2563 โดยเศรษฐกิจลาวชะลอตัวลงเนื่องจากผลกระทบของภัยพิบัติทางธรรมชาติในปี 2561 สงครามการค้า และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ขณะเดียวกันลาวยังอาจเผชิญความเสี่ยงในระยะสั้น จากทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่จำกัดและภาระทางการคลังเนื่องจากรายได้จากการเก็บภาษียังอยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในอนาคตและโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ รวมถึงนโยบายปฏิรูปจากภาครัฐจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะกลาง
เศรษฐกิจเมียนมา จะเติบโตที่อัตรา 6.3% ในปี 2563 ท่ามกลางความเสี่ยงภายในประเทศก่อนถึงการเลือกตั้งในปี 2563 การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศหดตัวอย่างมีนัยยะ แต่นโยบายการปฏิรูปและการลงทุนจากประเทศในเอเชียจะเป็นปัจจัยช่วยการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงหลักต่อเศรษฐกิจมาจากวิกฤติโรฮิงญาที่ยังคงอยู่ในระหว่างการแก้ไข ซึ่งทำให้เมียนมายังมีความเสี่ยงที่จะถูกถอนสิทธิพิเศษ EBA จากสหภาพยุโรป
เศรษฐกิจเวียดนาม จะเติบโตราว 6.7% ในปี 2563 ด้วยแรงส่งจากอุปสงค์ภายในประเทศและการส่งออก การบริโภคภาคเอกชนซึ่งได้แรงหนุนจากตลาดแรงงานภายในประเทศที่แข็งแกร่งและภาวะเงินเฟ้อที่ไม่สูงนัก จะช่วยสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางการส่งออกที่ชะลอตัวและความเสี่ยงภายนอกที่เพิ่มขึ้นจากผลกระทบของนโยบายกีดกันทางการค้าสหรัฐฯ ขณะที่การปฏิรูปเชิงโครงสร้างจะช่วยผลักดันการลงทุนทั้งจากภาคเอกชนภายในประเทศและการลงทุนจากต่างประเทศในระยะข้างหน้า
อย่างไรก็ดี การปรับโครงสร้างห่วงโซ่การผลิตในภูมิภาคจากผลกระทบสงครามการค้าถือเป็นผลดีบางส่วนต่อเศรษฐกิจ CLMV โดยเฉพาะในเวียดนามอย่างน้อยในระยะสั้นจากการที่บริษัทผู้ผลิตจีนและบริษัทข้ามชาติหลายแห่งตัดสินใจย้ายฐานการผลิตมายังกลุ่มประเทศ CLMV เพื่อเลี่ยงภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ นอกจากนี้ ตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ภายในกลุ่มประเทศ CLMV ที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวและจะช่วยรองรับผลกระทบทางลบจากความเสี่ยงภายนอกที่ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอลง