นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิตไม่เคยมีการจัดเก็บภาษีผ้าอนามัยตามที่เป็นข่าว และไม่เคยมีอยู่ในพิกัดอัตราภาษี และตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพสามิตก็ไม่เคยได้รับรายงานว่ามีเจ้าหน้าที่ไปตรวจจับโรงงานผ้าอนามัยเสียภาษีไม่ถูกต้อง โดยปัจจุบันผ้าอนามัยเสียแค่ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% เท่านั้น ไม่ได้มีการเสียภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย หรือมีเพดานการจัดเก็บภาษี 40% ตามที่ปรากฏเป็นข่าว
ทั้งนี้ สินค้าผ้าอนามัยไม่ถือว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีความจำเป็น เป็นสินค้าที่สตรีจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ดังนั้นในนิยามการเสียภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย คือ ถ้าไม่มีใช้ก็ไม่กระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน ถ้าส่งผลกระทบก็ให้ถือว่าเป็นสินค้าที่ไม่ฟุ่มเฟือย
"ต้องถามว่า ผ้าอนามัยไม่ใช้ได้ไหม ถ้าไม่ใช้ไม่ได้ แล้วมันจะฟุ่มเฟือยได้อย่างไร ที่ผ่านมาไม่มีในพิกัดภาษีผ้าอนามัย ประชาชนเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างเดียว เหมือนซื้อสินค้าอื่นๆ อยากจะรู้ว่าข่าวนี้ใครคิด คิดได้อย่างไร ถ้าคนอ่านแล้วเชื่อก็บ้ากันไปใหญ่แล้ว"นายพชร กล่าว
ขณะที่นายวิวัฒน์ เขาสกุล รองอธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ตามที่ได้มีข่าวปรากฏว่า ปัจจุบันรัฐบาลเก็บภาษีผ้าอนามัยสูง ทำให้ผ้าอนามัยมีราคาแพงนั้น กรมสรรพสามิตขอชี้แจงว่าไม่มีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตผ้าอนามัยแต่อย่างใด ผ้าอนามัยไม่เป็นสินค้าที่อยู่ในพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต เพราะไม่ถูกจัดเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ปัจจุบันถูกเรียกเก็บเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เท่านั้น
ตามหลักการภาษีสรรพสามิตจะเรียกเก็บเฉพาะสินค้าหรือบริการที่บริโภคแล้วส่งผลต่อสุขภาพและศีลธรรมอันดี และสินค้าฟุ่มเฟือยหรือเกินความจำเป็นต่อการดำรงชีพ หรือมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการที่รัฐใช้ในการจำกัดการบริโภคสินค้าหรือบริการบางประเภทเท่านั้น ซึ่งผ้าอนามัยถือเป็นสินค้าจำเป็น จึงไม่เข้าข่ายสินค้าฟุ่มเฟือย