กรมสรรพากร เตรียมความพร้อมระบบการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร และ Mobile Application พร้อมทั้งให้ผู้ยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถตรวจสอบข้อมูลค่าลดหย่อนต่างๆ ของตนเองผ่านระบบ My Tax Account ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th เพื่อลดความยุ่งยากในการจัดเก็บเอกสาร เพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการค้นหาข้อมูลค่าลดหย่อนต่าง ๆ ได้แก่ เงินสมทบ กบข. เบี้ยประกันสุขภาพ และเงินบริจาคผ่านระบบ e-Donation ซึ่งจะช่วยให้การยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและการคืนภาษีรวดเร็วขึ้น
นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ รักษาการที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า การยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี 2562 กำหนดให้ยื่นภายในวันที่ 31 มีนาคม 2563 หรือผู้ที่ยื่นแบบทางอินเตอร์เน็ตจะได้ขยายเวลาออกไปอีก 8 วัน ถึงวันที่ 8 เมษายน 2563
ทั้งนี้ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีสัดส่วนการยื่นแบบทางอินเทอร์เน็ตสูงถึง 82% ของผู้ยื่นแบบฯ กรมสรรพากรจึงได้มีการเตรียมระบบการยื่นแบบออนไลน์ และระบบ Mobile Application ให้สอดคล้องกับรายการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีต่างๆ สำหรับผู้เสียภาษี ซึ่งระบบจะพร้อมให้ใช้ยื่นแบบออนไลน์ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563
ในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ผู้เสียภาษีต้องแสดงข้อมูลเงินได้ และค่าลดหย่อนต่างๆ เพื่อให้ได้รับสิทธิการลดหย่อนและเสียภาษีถูกต้องครบถ้วน กรมสรรพากรตระหนักถึงความสำคัญดังกล่าว จึงสร้างช่องทางให้ผู้เสียภาษีสามารถเข้ามาตรวจสอบข้อมูลค่าลดหย่อนต่างๆ ของตนเองผ่านระบบ My Tax Account ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th ซึ่ง My Tax Account เป็นระบบให้บริการผู้เสียภาษีในการค้นข้อมูลค่าลดหย่อนและสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยมีการเชื่อมโยงข้อมูลในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์กับหน่วยงานเจ้าของข้อมูลต่างๆ และแสดงข้อมูลค่าลดหย่อน ได้แก่ ข้อมูลเบี้ยประกันสุขภาพ ข้อมูลการบริจาคที่ปรากฏอยู่ในระบบ บริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) และข้อมูลเงินสะสมเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ซึ่งจะช่วยลดภาระ ในการเก็บเอกสารหลักฐาน และการสแกนเอกสารต่าง ๆ และช่วยให้การยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และการคืนภาษีสะดวกรวดเร็วขึ้น ซึ่งปีที่ผ่านมามีผู้ใช้งานระบบนี้กว่า 8 แสนราย
โฆษกกรมสรรพากร ระบุว่า การยื่นแบบออนไลน์ จะช่วยให้ได้รับเงินคืนภาษีเร็วกว่าการยื่นแบบกระดาษ หากไม่ต้องขอเอกสารเพิ่มเติม ระบบจะประมวลผลสั่งคืนเงินแบบอัตโนมัติ โดยโอนเงินคืนภาษีเข้าในระบบพร้อมเพย์ของผู้มีเงินได้ หรือบัตร e-Money/e-Wallet
"ในช่วงระหว่างวันที่ 1 ม.ค. - 30 ก.ย. 62 กรมสรรพากรได้อนุมัติคืนภาษีรวมกว่า 34 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการคืนผ่านพร้อมเพย์และ e-Money จำนวนกว่า 29 ล้านบาท หรือคิดเป็น 86.86%" โฆษกกรมสรรพากรกล่าว