ส.ผู้ค้าปลีกไทย คาดภาพรวมธุรกิจปีนี้โตชะลอลง สอดคล้อง GDP ห่วงทรุดต่อเนื่องถึงปี 63 หวังรัฐออกมาตรการกระตุ้นเพิ่ม

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday December 24, 2019 12:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวรวุฒิ อุ่นใจ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย คาดว่าอุตสาหกรรมค้าปลีก ปี 62 น่ามีการเติบโตเพียง 2.8% ลดลงจากปีที่ผ่านมาที่เติบโต 3.2% สาเหตุหลัก คือ กำลังซื้อกลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้ระดับกลางลงล่าง ที่ต้องอาศัยรายได้จากผลผลิตภาคเกษตรซึ่งยังคงมีกำลังซื้อที่อ่อนแออยู่ และรอการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐผ่านมาตรการต่างๆ รวมถึงหนี้ครัวเรือนที่ยังไม่มีแนวโน้มลดลง

"ภาพรวมธุรกิจค้าปลีกในปี 2562 ที่ผ่านมา มีสัญญาณการหดตัวขึ้นในทุกหมวดสินค้า ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับ GDP ทั้งประเทศ ตลอดปี 62 คาดว่าน่าจะเติบโตเพียง 2.6% (กรอบ 2.8-2.4) "

ส่วนในปี 2563 คาดว่า การเติบโตน่าจะไม่แตกต่างจากปี 62 การเติบโตจากนี้ไปจะเป็นการเติบโตจากภาคค้าปลีกภูธรเป็นหลัก เชนค้าปลีกขนาดใหญ่ส่วนกลางทรงตัวหรืออาจจะลดลงเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม สมาคมผู้ค้าปลีกไทยมองว่ายังมีอีก 4 เรื่อง ที่ยังพอมีความหวังหรือปัจจัยบวก ในการขับเคลื่อนการบริโภคภาคค้าปลีกในปี 2563 ไดแก่ 1)มาตรการกระตุ้นจากนโยบายการคลังออกมาเพิ่มอีก ที่การกระตุ้นเศรษฐกิจจะทำในกลุ่มที่ยังมีกำลังจับจ่าย เพื่อเพิ่มศักยภาพการใช้จ่ายให้กลุ่มคนชั้นกลาง ลูกจ้างประจำ ที่ยังไม่ถูกลดการทำงานเหมือนลูกจ้างชั่วคราว เช่น ที่รัฐดำเนินการไปแล้วในโครงการ "ชิม ช้อป ใช้" และโครงการ "100 บาท เที่ยวทั่วไทย"

2) การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี 2563 งบประมาณประจำปี 2563 ซึ่งถ้าเป็นภาวะปกติ งบประมาณประจำปี จะเริ่มเดือนตุลาคม แต่สำหรับปีนี้ ที่เพิ่งผ่านการจัดตั้งรัฐบาลเมื่อเดือนกันยายน และส่งเข้าสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาเดือนพฤศจิกายน คาดว่าน่าจะผ่านการพิจารณาอนุมัติราวเดือนมกราคม การเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณปี 2563 คาดว่าน่าจะเริ่มเห็นผลราวปลายเดือนกุมภาพันธ์หรือต้นเดือนมีนาคม 2564 ซึ่งจะถูกเร่งรัดใช้ให้หมดภายในเดือนกันยายน งบประมาณปี 2563 จึงเป็นงบประมาณที่จะถูกอัดฉีดเข้าไปในระบบภายใน 6 เดือน ซึ่งจะเป็นงบที่มาบรรเทาเศรษฐกิจที่ชะลอตัวระยะสั้นได้

3) นโยบายการเงินและนโยบายการคลังที่ยังมีช่องว่างให้สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เพราะปัจจุบันหนี้สาธารณะของไทยต่อจีดีพีอยู่ที่ 42% ยังถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ จึงมีโอกาสที่จะใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เมื่อเศรษฐกิจฟื้น ก็เก็บภาษีมาใช้คืนหนี้ได้ตามนโยบายทางการเงิน คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) น่าจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ในไตรมาสแรกปี 2563 ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 1.25% หากปรับลดก็จะเป็นดอกเบี้ยระดับต่ำที่สุดที่เคยมีมา การลดดอกเบี้ยจะช่วยประคองเศรษฐกิจให้ดีขึ้น

4)ท่องเที่ยว ยังมีแนวโน้มเติบโต จากนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของไทย พบว่าช่วง 2 เดือนนี้นักท่องเที่ยวจีนเริ่มกลับมาอย่างชัดเจน และประเทศไทยยังเป็นจุดหมายหลัก คือเป็น "จุดหมาย" อันดับหนึ่งของนักท่องเที่ยวจีน นอกจากนี้ยังมีโอกาสได้ประโยชน์ระยะสั้นจากเหตุการณ์ประท้วงในฮ่องกง ที่อาจทำให้นักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ เบนทิศทางมาเที่ยวประเทศไทยเพิ่มขึ้น

ขณะที่ ปัจจัยลบที่ถ่วงธุรกิจ ได้แก่ 1)ผลกระทบจากการเลิกจ้างและลดการผลิต ปัจจัยภายนอกประเทศ ทั้งสงครามการค้าจีน-สหรัฐ ที่กระทบคู่ค้าตลาดส่งออกทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย, การถูกสหรัฐตัดสิทธิประโยชน์ GSP สินค้าไทย อุตสาหกรรมผลิตเพื่อการส่งออกได้รับผลกระทบเต็มๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากสถิติ อุตสาหกรรมผลิตเพื่อการส่งออกและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง มีการจ้างงานราว 2.5 ล้านคน หรือราว 40% ของการจ้างงานภาคการผลิตทั้งหมด ปรากฏการณ์การปิดหรือการลดกำลังการผลิต การลดกำลังคน การยกเลิกโอที จนถึง การเลิกจ้างงาน มีให้เห็นเป็นรายวัน ส่งผลให้กำลังซื้อภายในประเทศลดลงอย่างน่าตระหนกใจ

2) ผลจากภัยแล้งปี 2562 คาดว่ากระทบผลผลิตและรายได้ทางการเกษตรลดลง 16% จากปี 2561 สำหรับปี 2563 คาดว่ารายได้ทางการเกษตรจะทรงตัวหรือหดตัวเล็กน้อย ในกรอบ -0.5% ถึง 0.0%

3) ผลกระทบจากการปรับค่าแรงขั้นต่ำ การประกาศปรับค่าแรงขั้นต่ำ วันละ 5-6 บาทต่อวัน มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 มีผลกระทบโดยตรงต่อการจ้างงานภาคบริการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SME ในธุรกิจร้านอาหาร ร้านค้าปลีกค้าส่ง และก่อสร้าง จะได้รับผลกระทบที่ค่อนข้างรุนแรง เนื่องจากยังต้องใช้แรงงานทักษะต่ำเป็นจำนวนมาก และไม่สามารถใช้เทคโนโลยีมาทดแทนได้ จากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ การจ้างงานของภาคบริการ โดยเฉพาะการจ้างงานในธุรกิจร้านอาหาร ร้านค้าปลีกค้าส่ง และการก่อสร้าง มีจำนวนมากกว่า 11 ล้านคน

4) ผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวรอบนี้เป็นวงกว้างและเป็นเวลานาน การชะลอตัวของเศรษฐกิจในรอบนี้ ผลกระทบแตกต่างจาก วิกฤตการณ์เศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ปี 2540 อย่างสิ้นเชิง ผลกระทบวิกฤตการณ์เศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ปี 2540 มีผลกระทบหลักต่อผู้ประกอบการ เจ้าของธุรกิจ ชนชั้นบน ซึ่งมีสัดส่วนราว 30% ของประชากร และหนี้ที่เกิดขึ้นจากวิกฤตการณ์เศรษฐกิจเป็นหนี้ทางธุรกิจ ซึ่งการฟื้นฟูธุรกิจให้กลับเข้าสู่โหมดเดิม ใช้เวลาไม่นาน แต่ผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัวในรอบนี้ (2556-2565) มีผลต่อชนชั้นกลางและชนชั้นล่างเป็นหลัก ซึ่งมีสัดส่วนราว 70% ของประชากร หนี้ที่เกิดขึ้นเป็นหนี้ครัวเรือน ซึ่งมีผลต่อกำลังซื้อเป็นสำคัญ ทำให้การชะลอตัวของเศรษฐกิจในรอบนี้มีผลกระทบเป็นวงกว้างและต้องใช้เวลานานในการฟื้นฟูกลับมา

นายวรวุฒิ ยังกล่าวถึงสถานการณ์ค้าปลีกในช่วงปี 2563-2565 ได้แก่ 1. การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้วยเม็ดเงินลงทุนกว่า 2.4 ล้านล้านบาทจะส่งผลถึงอุตสาหกรรมค้าปลีกก็คงเป็นครึ่งปีหลังของปี 2564 ซึ่งจะเป็นสัญญาณการฟื้นตัวของภาคค้าปลีกอย่างชัดเจนในราวปี 2565

2. โครงสร้างอุตสาหกรรมค้าปลีกค้าส่งในสถานการณ์ปัจจุบันและอนาคต สามารถแบ่งได้เป็น 3 แถว แถวหนึ่ง ก็เป็น Modern Chain Store คือมีศูนย์การบริหารจัดการอยู่ในกรุงเทพเป็นหลัก ซึ่งน่าจะมียอดขายเป็นสัดส่วนราว 32% ของมูลค่าการบริโภคค้าปลีกค้าส่ง แถวสอง ก็จะเป็นค้าปลีกค้าส่งภูธรที่กำลังพัฒนาในต่างจังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้นำค้าปลีกค้าส่งในจังหวัดตัวเองเป็นหลัก มีสัดส่วนอยู่ประมาณ 20% ของมูลค่าการบริโภคค้าปลีกค้าส่ง ส่วนที่เหลือจะเป็นค้าปลีกค้าส่งขนาดกลางขนาดเล็กขนาดย่อมที่มาราว 450,000 ราย มีสัดส่วนโดยรวมราว 53%-55%

3. ปัจจุบันตลาดการบริโภคค้าปลีกในไทยคาดว่าจะมีมูลค่าราว 3.8 ล้านล้านบาท ในปี 62 การเติบโตจากนี้ไปของอุตสาหกรรมค้าปลีกไทย จะมาจากค้าปลีกภูธรแถวสองเป็นหลัก ที่จะมีการขยายตัวมากกว่า GDP ของประเทศเป็นสองเท่า และจะขยายตัวออกนอกพื้นที่นอกจังหวัดมากขึ้น ส่วนกลุ่มค้าปลีกขนาดใหญ่แถวหนึ่ง ก็จะพุ่งเป้าขยายตัวไปสู่ภูมิภาคพื้นบ้านและต่างประเทศมากขึ้น การเติบโตภาคค้าปลีกในประเทศจะค่อยๆ ชะลอตัวและทรงตัวในที่สุด

4. New Digital Business Model กำลังก่อร่างสร้างตัว ในช่วงเวลา 2-3 ปีนี้ ภาคค้าปลีกขนาดใหญ่ ที่ได้เริ่มลงทุน Digital Technology เพื่อสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ที่เรียกกันว่า E Business (รูปธรรมของ E Business ที่เรารู้จักกันดีก็คือ O2O หรือ Omni Channel ซึ่งเป็นการเชื่อมห้างร้านในโลกออฟไลน์เข้ากับเทคโนโลยีโลกออนไลน์อย่างลงตัว จะเริ่มให้ผลเป็นรูปธรรมการเชื่อมออฟไลน์กับออนไลน์อย่างไร้รอยต่ออย่างชัดเจนไม่เกินปี 2565

5. ในอนาคตอันใกล้ Retail ต้องใช้ "Data & Asset "ในการสร้างรายได้ ผลวิจัยของ Forrester Consulting ในประเทศไทย ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกที่มีความพร้อมใช้ "ดาต้า" มีแค่ 5% เท่านั้น ในขณะที่ ค้าปลีกโลก มีความพร้อมใช้ดาต้า และ Asset ที่มีการสร้างรายได้ 15% การปฏิวัติการช้อปปิ้งสมัยใหม่ จะทำให้ผู้ประกอบการการค้าการขายแบบร้านดั้งเดิม ร้านค้าปลีกอิสระขนาดกลางขนาดเล็กๆ เป็นหมื่นเป็นแสน ที่อยู่ทั่วราชอาณาจักร อาจจะได้ผลกระทบถึงขั้นล้มเลิกกิจการ ในขณะเดียวกัน ก็จะเป็นการแจ้งเกิดผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่มองภัยคุกคามในรูปแบบเทคโนโลยีผสมผสานกับพฤติกรรม เป็นโอกาสในการสร้างธุรกิจรูปแบบใหม่ๆ โดยพัฒนากลายเป็นคู่แข่งใหม่ที่ไม่ต้องการทำเลที่ตั้งหน้าร้าน ไม่ต้องมีสต็อก สามารถเข้าหาลูกค้าได้ทั่วทุกสารทิศ ไม่สนใจเรื่องระยะทางและขนาดของธุรกิจ

6. Big Data อุตสาหกรรมค้าปลีกไทยยังขาด Knowledge และ Know How ห้างค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภค "ไทย " กว่า 91% ขาดความสามารถ เทคโนโลยี บุคลากร และกระบวนการต่างๆ ที่จำเป็นในการนำ "ข้อมูลเชิงลึก" (Insights) ของลูกค้ามาใช้เพื่อสร้างรายได้ใหม่ๆ และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้า

7. Electronic Payments จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด ธุรกรรมทางการเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ในช่วงสองปีที่เริ่มใช้ Prompt Pay คนไทยใช้พร้อมเพย์กว่า 46.5 ล้านราย มีปริมาณธุรกรรมกว่า 1.1 พันล้านรายการ คิดเป็นมูลค่าธุรกรรมทั้งสิ้น 5.8 ล้านล้านบาท

ทุกวันนี้อุปสรรคสำคัญของการชำระเงินผ่านมือถือ ได้แก่ ร้านค้าที่รองรับมีจำนวนจำกัด, ต้องเติมเงินเป็นประจำ และใช้เงินสดสะดวกกว่าในการใช้จ่ายเงินจำนวนน้อย อย่างไรก็ตาม เมื่อเริ่มมีการใช้เทคโนโลยี 5G และ wifi 6 ธุรกรรมทางการเงินจะรวดเร็วและแพร่หลายมากขึ้น จะเปิดโอกาสให้ธุรกิจขนาดย่อย micro business เติบโตได้อย่างรวดเร็ว ปัจจัยสำคัญก็คือ ราคาถูก สะดวก และรวดเร็วได้ทุกที่ ทุกคนสามารถเป็นพ่อค้าแม่ค้าได้ อุปกรณ์ทุกชิ้นจะทำธุรกรรมทางการเงินได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ