นายเมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ในวันนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินประจำปี 63 โดยกำหนดอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วง 1-3% โดยไม่มีค่ากลาง เป็นเป้าหมายนโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลาง 3-5 ปี โดยเป้าหมายปี 63 เปลี่ยนจากเป้าหมายเดิมที่มีค่ากลาง 2.5% บวกลบ 1.5% หรือในช่วง 1-4%
แม้กรอบอัตราเงินเฟ้อใหม่จะอยู่ที่ 1-3% แต่ในประมาณการอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะยังต่ำกว่าเป้าหมายเล็กน้อย หรืออยู่ที่ไม่ถึง 1% ซึ่งการจะบอกว่าเงินเฟ้อจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้เมื่อใดนั้น อยากให้มองระยะยาว 5 ปี แต่ก็มีโอกาสที่เงินเฟ้อทั่วไปจะเข้ากรอบเป้าหมายล่างที่ 1% ได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ โดยเฉพาะราคาน้ำมัน และราคาอาหารสด ดังนั้น การคาดการณ์เงินเฟ้อล่วงหน้านานๆ อาจมีความไม่แน่นอน
สำหรับการเปลี่ยนเป้าหมายเงินเฟ้อมาใช้แบบช่วงไม่มีค่ากลาง เหมือนที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้นโยบายการเงินสามารถดูแลเสถียรภาพด้านราคา ควบคู่กับการเติบโตทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพระบบการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจโลกและไทยผันผวนและมีความไม่แน่นอนสูง
นายเมธี กล่าวถึงความจำเป็นต้องมีมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ (QE) จากรณีเศรษฐกิจชะลอตัวว่า ไทยไม่จำเป็นต้องใช้มาตรการดังกล่าว เพราะเศรษฐกิจไทยไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤต ขณะที่ประเทศอื่นๆที่เคยใช้มาตรการนี้ตั้งแต่ในช่วงปี 51-52 ก็เริ่มที่จะปรับลดขนาดของมาตรการลง ขณะที่ไทยปัจจุบันยังมีสภาพคล่องเหลือเฟือ
ส่วนกรณีที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ระบุถึงการแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทนั้น ยอมรับว่ามีการพูดคุยระดับหนึ่ง ซึ่งการดูแลค่าเงินต้องอาศัยความร่วมมือทุกภาคส่วน และเป็นเรื่องที่ ธปท.ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และยืนยันว่าในระยะต่อไปค่าเงินบาทเคลื่อนไหว 2 ทิศทางมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมายอมรับว่าค่าเงินบาทแข็งค่าเกินปัจจัยพื้นฐาน และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เป็นกังวลในเรื่องค่าเงิน โดยพร้อมดำเนินการมาตรการที่เหมาะสมต่อไป