นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง ประจำเดือนพ.ย.62 พบว่า เศรษฐกิจไทยได้รับแรงสนับสนุนจากเศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยการบริโภคภายในประเทศที่สะท้อนจากการขยายตัวต่อเนื่องของยอดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ บนฐานการใช้จ่ายภายในประเทศ และเศรษฐกิจด้านอุปทานจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ขยายตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจภายนอกประเทศส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้าชะลอตัว ส่วนเสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี
ทั้งนี้ เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนในภาพรวมยังคงขยายตัว โดยสะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ บนฐานการใช้จ่ายในประเทศขยายตัวต่อเนื่อง 3.7% ต่อปี เช่นเดียวกับปริมาณนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัว 1.3% ต่อปี นอกจากนี้ รายได้เกษตรกรที่แท้จริงขยายตัว 1.8% ต่อปี อย่างไรก็ตาม ปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ชะลอตัว -6.8% ต่อปี ขณะที่ยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งชะลอตัว -16.4% ต่อปี
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทย ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 57.9 เป็นผลมาจากการการชะลอตัวของการส่งออกสินค้าของไทย และความกังวลจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลก เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนส่งสัญญาณชะลอตัว โดยการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรสะท้อนจากปริมาณนำเข้าสินค้าทุนชะลอตัว -11.2% ต่อปี เช่นเดียวกับปริมาณจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ชะลอตัวที่ -16.1% ต่อปี ส่วนการลงทุนในหมวดก่อสร้างปรับตัวดีขึ้นแต่ก็ยังชะลอตัว โดยยอดการจัดเก็บภาษีการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว -6.3% ต่อปี เช่นเดียวกับปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ชะลอตัวที่ -2.2% ต่อปี ส่วนดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างชะลอตัวที่ -3.1% ต่อปี โดยมีสาเหตุมาจากราคาเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กปรับตัวลดลง
เศรษฐกิจภาคการค้าระหว่างประเทศชะลอตัว สะท้อนจากมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ชะลอตัวที่ -7.4% ต่อปี เป็นผลจากการชะลอตัวของการส่งออกในหมวดสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์ ทองคำ ข้าว ยางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง กุ้งสดแช่แข็งและแปรรูป อย่างไรก็ตาม สินค้าในกลุ่ม ผัก ผลไม้ สด แช่แข็งและแปรรูป น้ำตาลทราย เครื่องดื่ม ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับที่ไม่รวมทองคำ เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์รักษาผิว ยังคงขยายตัวได้ และตลาดส่งออกสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน และตะวันออกกลาง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบมูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยกับประเทศต่างๆ ในภูมิภาค พบว่า หลายประเทศก็มีการส่งออกที่ชะลอตัว เช่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง และมาเลเซีย ในขณะที่มูลค่าการนำเข้าสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ชะลอตัว -13.8% ต่อปี ส่งผลให้ดุลการค้าในเดือนพฤศจิกายน 2562 เกินดุล 548.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน พบว่า ภาคการท่องเที่ยวยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง ขณะที่ภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรมยังส่งสัญญาณชะลอตัว โดยภาคการท่องเที่ยวสะท้อนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายน 2562 มีจำนวน 3.36 ล้านคน ขยายตัว 5.9% ต่อปี ซึ่งเป็นการขยายตัวจากนักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นหลัก โดยขยายตัว 18.3% ต่อปี นอกจากนี้ ยังมีนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นที่ขยายตัวได้ดี อาทิ นักท่องเที่ยวชาวไต้หวัน อินเดีย และรัสเซีย โดยสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นจำนวนเงิน 166,897 ล้านบาท ขยายตัวในอัตรา 3.0% ต่อปี
ขณะที่ภาคการเกษตรสะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรชะลอตัว -2.7% ต่อปี เช่นเดียวกับภาคอุตสาหกรรมสะท้อนจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมชะลอตัว -8.3% ต่อปี อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 92.3 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าเนื่องจากผู้ประกอบการมีการเร่งผลิตเพื่อชดเชยวันทำงานที่น้อยลง เนื่องจากวันหยุดเทศกาลในเดือนธันวาคม รวมทั้งมียอดคำสั่งซื้อและยอดขายเพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ
เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 0.2% ต่อปี ปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า โดยมีสาเหตุมาจากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.5% ต่อปี สำหรับอัตราการว่างงานอยู่ที่ 1.1% ของกำลังแรงงาน
สัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ 41.0% ต่อ GDP ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ส่วนเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2562 อยู่ในระดับสูงที่ 221.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
นายวุฒิพงศ์ กล่าวด้วยว่า ในเดือนม.ค. 63 จะทบทวนอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ปี 2562 ใหม่อีกครั้ง จากปัจจุบันคาดการณ์ว่า GDP ปี 62 จะขยายตัวที่ 2.8% โดยมีช่วงคาดการณ์ 2.6-3.0% ขณะที่การส่งออก คาดว่าจะลดลงที่ -2.5% ส่วนปี 63 คาดว่า GDP จะขยายตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.3% และภาคการส่งออกปรับตัวดีขึ้น มาอยู่ที่ 2.6%
ทั้งนี้ ในปี 2563 ยังมีปัจจัยที่ต้องจับตาดูเป็นพิเศษ โดยเฉพาะสถานการณ์การค้าในตลาดโลก ซึ่งที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้า แต่เชื่อว่าในปีหน้าสถานการณ์ดังกล่าวจะคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น และส่งผลดีกับภาคการส่งออกของไทยให้ปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับด้วย
"ภาพรวมเศรษฐกิจปี 2562 ยังต้องรอประเมินเครื่องชี้เศรษฐกิจทั้งหมดในไตรมาส 4/2562 ก่อน แต่เบื้องต้นจากแนวโน้มของเครื่องชี้เศรษฐกิจในหลายส่วน สะท้อนถึงทิศทางการขยายตัวที่ดีขึ้น ทำให้คาดว่าในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ภาพรวมเศรษฐกิจจะสามารถเติบโตได้ดีที่สุดในปี 2562" นายวุฒิพงศ์ กล่าว