นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า จากปัญหาภัยแล้งในขณะนี้ คาดว่าจะทำให้ผลผลิตทางการเกษตรหลายชนิดของไทยในปีนี้ได้รับความเสียหาย ปริมาณผลผลิตลดลง และราคาปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียว และข้าวเปลือกเจ้า โดยราคาข้าวเปลือกหอมมะลิ น่าจะทรงตัวในระดับสูงที่กว่า 14,000-15,000 บาท/ตัน ส่วนข้าวเปลือกเหนียว น่าจะยืนได้สูงกว่า 14,000 บาท/ตัน ส่วนข้าวเปลือกเจ้า ราคาน่าจะสูงถึง 9,000-10,000 บาท/ตัน จากปัจจุบันราคาประมาณ 8,000 บาท/ตัน เพราะคาดว่าผลผลิตข้าวเปลือกนาปรังจะเสียหายเกือบครึ่งหนึ่ง หรือจะมีผลผลิตเพียง 3.5-4 ล้านตันข้าวเปลือก จากปกติที่ประมาณ 8 ล้านตันข้าวเปลือก
นอกจากนี้ ยังจะทำให้ราคาผักสดปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน จากผลผลิตที่คาดว่าจะเสียหายจำนวนมาก โดยเฉพาะผักใบ รวมถึงมะนาว ที่คาดว่าปีนี้ราคาน่าจะสูงกว่าที่ผ่านมา ดังนั้นจึงต้องการให้ผู้ที่ใช้มะนาวจำนวนมาก เช่น ร้านอาหาร ภัตตาคาร เร่งซื้อมะนาวในช่วงนี้ที่ยังราคาต่ำมาทำเป็นน้ำมะนาวแช่แข็งเก็บไว้ เพื่อเตรียมไว้ใช่ในช่วงหน้าแล้ง
ส่วนเนื้อหมู คาดว่าราคาจะสูงขึ้นเช่นกัน จากสภาพอากาศร้อน ทำให้หมูโตช้า และการเกิดโรคอหิวาต์แอฟริการะบาดในหมูในประเทศจีน เวียดนาม และลาว จึงทำให้ราคาหมูมีชีวิตในจีนปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่กิโลกรัม (กก.) ละ 200 บาท, เวียดนาม กก.ละ 120 บาท ขณะที่ไทยยังอยู่ที่ไม่เกิน กก.ละ 75 บาท แต่กรมฯ ได้หารือกับสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติว่า หากราคาเกินกว่า กก.ละ 80 บาท อาจมีมาตรการจำกัดการส่งออก เพื่อให้มีเนื้อหมูบริโภคในประเทศอย่างเพียงพอ และราคาไม่สูงมากจนเกินไป
"ราคาสินค้าเกษตรที่สูงขึ้น ถ้ามองในแง่เกษตรกร จะมีผลดีกับเขามาก เพราะเป็นกลุ่มที่เดือดร้อนมาโดยตลอด เพราะขายผลผลิตได้ราคาไม่คุ้มต้นทุน แต่ในแง่ของผู้บริโภคอาจได้รับผลกระทบในช่วงสั้นๆ ถ้าหน้าแล้งผ่านพ้นไป ราคาสินค้าเกษตรจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ" อธิบดีกรมการค้าภายในกล่าว
พร้อมระบุว่า ถ้าราคาสินค้าแพงจากภาวะภัยแล้ง จะใช้กลไกที่กรมฯ มีอยู่ในการแก้ปัญหา เช่น ร้านธงฟ้า ที่มีอยู่กว่า 102,000 แห่งทั่วประเทศ โดยจะเชื่อมโยงนำผลผลิต จากแหล่งผลิตที่ไม่ได้รับความเสียหาย เพื่อกระจายไปยังร้านธงฟ้าต่าง ๆ เพื่อให้ไปถึงผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึงในราคาที่เป็นธรรม
นายวิชัย กล่าวต่อถึงความกังวลชองสถานการณ์ภัยแล้งที่อาจกระทบต่อน้ำดื่ม จนอาจทำให้น้ำดื่มบรรจุขวดปรับขึ้นราคาขายว่า ขณะนี้สถานการณ์ราคาน้ำดื่มบรรจุขวดยังอยู่ในภาวะปกติ โดยยังขายอยู่ที่ขวดละ 5-10 บาท และเชื่อว่าภัยแล้งจะไม่รุนแรงจนทำให้ขาดแคลนน้ำมาผลิตน้ำดื่ม และดันให้ราคาต้องขยับขึ้น เนื่องจากขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างพยายามเร่งแก้ปัญหา โดยเฉพาะการขุดบ่อน้ำบาดาล การหาแหล่งน้ำใหม่ ๆ ซึ่งน่าจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้ และไม่ทำให้ราคาน้ำดื่มต้องปรับขึ้นแน่นอน