นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนากยกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนรัฐวิสาหกิจว่า ได้ขอความร่วมมือจากรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง เร่งเดินหน้าการลงทุนให้ได้ตามแผนที่วางไว้ให้เร็วขึ้น ไม่ให้มีการปรับลดเป้าหมายการลงทุน เนื่องจากมองว่าการผลักดันการลงทุนภาครัฐให้เกิดขึ้นได้โดยเร็ว จะเป็นตัวนำให้เอกชนเดินหน้าลงทุนตามไปด้วย เพราะหากรัฐลงทุนช้า เอกชนก็จะขาดความเชื่อมั่น และเมื่อการลงทุนเดินหน้าได้ ก็จะทำให้เกิดการนำเข้าวัตถุดิบมากขึ้น ซึ่งจะมีผลให้แนวโน้มค่าเงินบาทของไทยผ่อนคลายได้มากขึ้นด้วย
โดยมองว่าการลงทุนเป็นปัจจัยสำคัญ และเป็นทางออกของประเทศ ไม่เพียงมีผลในการประคองให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้า แต่ยังมีผลในการทำให้ค่าเงินบาทอยู่ในภาวะที่เหมาะสม เพราะที่ผ่านมาการลงทุนในประเทศค่อนข้างนิ่งอยู่กับที่ โดยเฉพาะการลงทุนของภาคเอกชน ขณะที่การลงทุนของภาครัฐ จะยังคงเป็นตัวหลักสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
"เศรษฐกิจปีนี้น่าจะประคองตัวได้ ไม่แย่กว่าปีก่อน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งจะต้องปรับลดเป้าหมายการลงทุนลง แต่อยากจะขอให้เร่งแผนการลงทุนให้เร็วขึ้น คิดโครงการลงทุนใหม่ ๆ ออกมา ซึ่งได้ฝากให้กระทรวงคมนาคม และกระทรวงการคลังไปติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด โดยในส่วนของกระทรวงการคลัง ขณะนี้กำลังคิดแนวทางในการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในประเทศมากขึ้น ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กำลังเสนอมาตรการเพื่อผลักดันให้เกิดโครงการลงทุนใหม่ ๆ ในประเทศเพิ่มขึ้น" นายสมคิด กล่าว
นายสมคิด กล่าวอีกว่า รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายการลงทุนในไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ 2563 (ม.ค.-มี.ค.63) หรือไตรมาส 1 ของปีปฏิทิน 2563 จะมีเม็ดเงินงบประมาณลงสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 1 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น งบรายจ่ายประจำ จำนวน 7.7 แสนล้านบาท และรายจ่ายลงทุน อีกประมาณ 2.2 แสนล้านบาท
ด้านนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายให้ปี 2563 เป็นปีแห่งการลงทุน โดยรัฐบาลจะมีมาตรการต่าง ๆ ในการขับเคลื่อนการลงทุนออกมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งจะพยายามติดตามและเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงงทุนทั้งหมดให้เป็นไปตามแผน
"ได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ที่มีตัวแทนอยู่ในบอร์ดรัฐวิสาหกิจ ติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนอย่างใกล้ชิด ประสานงานในกรณีที่รัฐวิสาหกิจมีข้อติดขัด ให้เร่งรายงาน เพื่อพยายามทำให้เรื่องการเบิกจ่ายงบลงทุนเดินหน้าได้เร็ว ตั้งแต่ต้นทาง โดยไม่ต้องรอ" นายอุตตม ระบุ
รมว.คลัง กล่าวอีกว่า ที่ประชุมยังได้ฝากให้ สคร. เร่งดำเนินการระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (ไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ : TFFIF) เฟส 2 เพราะถือเป็นเครื่องมือในการระดมทุนที่ดี โดยให้เร่งดำเนินการโดยเร็วที่สุด โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย ในการพิจารณานำโครงการที่เหมาะสมเข้าระดมทุนผ่านกองทุนรวมดังกล่าว
นายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการ สคร. เปิดเผยว่า นายสมคิด ได้มอบนโยบายให้รัฐวิสาหกิจเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนรัฐวิสาหกิจอย่างต่อเนื่อง โดยให้รัฐวิสาหกิจเร่งเบิกจ่ายให้เร็วขึ้นในส่วนโครงการที่สามารถดำเนินการได้ก่อน (Front - Loaded) รวมถึงให้รัฐวิสาหกิจเร่งเบิกจ่ายโครงการที่มี Import Content หรือการลงทุนในต่างประเทศที่มีมูลค่าสูงด้วย
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกำหนดเป้าหมายให้รัฐวิสาหกิจ 45 แห่ง และบริษัทในเครือให้มีการเบิกจ่ายในไตรมาสที่ 1 ปี 2563 (เดือนมกราคม – มีนาคม 2563) ไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท ซึ่งการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ จะทำให้สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2563 ได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะที่นายชาญวิทย์ นาคบุรี รองผู้อำนวยการ สคร. กล่าวว่า ในปี 2563 รัฐวิสาหกิจมีกรอบลงทุนรวมจำนวน 345,141 ล้านบาท โดยเป็นกรอบการลงทุนของรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณจำนวน 199,978 ล้านบาท และรัฐวิสาหกิจปีปฏิทินจำนวน 145,163 ล้านบาท
โดยมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่สำคัญ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง และโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.), โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.), โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของบมจ. ท่าอากาศยานไทย (AOT), โครงการพัฒนาโรงไฟฟ้าบางปะกง ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.), โครงการพัฒนาระบบส่งและจำหน่ายระยะที่ 1 ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และโครงการแผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้าฉบับที่ 12 ปี 2560-2564 ของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.)