กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) คาดการณ์การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงปี 63 ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปี 62 ทั้งในส่วนของน้ำมันกลุ่มเบนซิน น้ำมันดีเซล และน้ำมันอากาศยาน ขณะที่การใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) และก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) จะปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ ในปี 63 คาดการณ์การใช้น้ำมันกลุ่มเบนซิน อยู่ที่ 33.4 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้น 3.7% จาก 32.2 ล้านลิตร/วันในปี 62 โดยเป็นการใช้น้ำมันเบนซิน เพิ่มขึ้น 14% มาที่ 1.1 ล้านลิตร/วัน และการใช้แก๊สโซฮฮล์ เพิ่มขึ้น 3.2% มาที่ 32.3 ล้านลิตร/วัน ส่วนใหญ่เป็นการใช้แก๊สโซฮอล์ 95 รองลงมาเป็นแก๊สโซฮอล์ 91 , E20 และ E85 ตามลำดับ
ส่วนการใช้น้ำมันกลุ่มดีเซล อยู่ที่ 71.6 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้น 6.3% จากระดับ 67.3 ล้านลิตร/วันในปี 62 โดยการใช้ส่วนใหญ่ยังอยู่ในกลุ่มของ B7 ที่ 38.9 ล้านลิตร/วัน ลดลง 35% จากปี 62 หลังจากรัฐบาลบังคับใช้น้ำมันดีเซล B10 เป็นน้ำมันดีเซลพื้นฐานตั้งแต่ 1 ม.ค.63 ขณะที่ประเมินการใช้ B10 ที่ระดับ 22.5 ล้านลิตร/วัน และ B20 อยู่ที่ 7.1 ล้านลิตร/วัน ส่วนดีเซลพื้นฐาน อยู่ที่ 3 ล้านลิตร/วัน
การใช้น้ำมันอากาศยานในปี 63 คาดว่าเพิ่มขึ้น 7.4% มาที่ 20.8 ล้านลิตร/วัน จาก 19.3 ล้านลิตร/วันในปี 62 ขณะที่การใช้น้ำมันเตาอยู่ที่ 6.7 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้น 24% และน้ำมันก๊าด อยู่ที่ 0.05 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้น 135%
ส่วนการใช้ LPG ในปี 63 คาดว่าจะอยู่ที่ 17.5 ล้านกิโลกรัม/วัน ลดลง 1.9% จากระดับ 17.8 ล้านกิโลกรัม/วันในปี 62 และการใช้ NGV ลดลง 7.4% มาที่ 5 ล้านกิโลกรัม/วัน จาก 5.4 ล้านกิโลกรัม/วันในปี 62
สำหรับในปี 62 การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยต่อวัน เติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปี 61 โดยการใช้น้ำมันกลุ่มเบนซิน เฉลี่ยอยู่ที่ 32.2 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 3.7% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของน้ำมันกลุ่มเบนซินเกือบทุกชนิดยกเว้นน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ 91 โดยน้ำมันเบนซินมีการใช้ลดลงเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 1.0 ล้านลิตร/วัน คิดเป็นอัตราลดลง 12.8% สำหรับภาพรวมการใช้น้ำมันกลุ่มแก๊สโซฮอล์มีปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน เฉลี่ยอยู่ที่ 31.3 ล้านลิตร/วัน คิดเป็น 4.3% โดยแก๊สโซฮอล์ E20 มีปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นมากที่สุด อยู่ที่ 6.5 ล้านลิตร/วัน คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 12.1% เนื่องจากมีราคาต่ำกว่าแก๊สโซฮอล์ 95 เฉลี่ยอยู่ที่ 2.98 บาท/ลิตร จึงจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาใช้เพิ่มขึ้น
รองลงมาเป็นแก๊สโซฮอล์ E85 มีปริมาณการใช้ เฉลี่ยอยู่ที่ 1.3 ล้านลิตร/วัน คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 7.9% ถัดมาแก๊สโซฮอล์ 95 มีปริมาณการใช้เฉลี่ยอยู่ที่ 13.9 ล้านลิตร/วัน คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 6.9% แต่สำหรับแก๊สโซฮออล์ 91 มีปริมาณการใช้ลดลงเฉลี่ยอยู่ที่ 9.6 ล้านลิตร/วัน คิดเป็นอัตราลดลง 4.2% เนื่องจากแก๊สโซฮอล์ 91 และแก๊สโซฮอล์ 95 มีราคาใกล้เคียงกันโดยมีส่วนต่างเพียง 0.27 บาท/ลิตร จึงทำให้ผู้บริโภคเลือกใช้น้ำมันชนิดที่มีค่าออกเทนสูงกว่า
การใช้น้ำมันกลุ่มดีเซลหมุนเร็ว เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 64.4 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนคิดเป็น 1.8% โดยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B7 มีปริมาณการใช้ลดลงเฉลี่ยอยู่ที่ 59.9 ล้านลิตร/วัน คิดเป็นอัตราลดลง 5.4% น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B10 มีปริมาณการใช้เฉลี่ยอยู่ที่ 0.1 ล้านลิตร/วัน (เริ่มมีการจำหน่ายตั้งแต่ปลายเดือนพ.ค.62) และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B20 มีปริมาณการใช้เฉลี่ยอยู่ที่ 4.5 ล้านลิตร/วัน (เริ่มมีการจำหน่ายตั้งแต่เดือน ก.ค.61) โดยการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B10 และ B20 ภาครัฐได้ใช้มาตรการกำหนดส่วนต่างราคาขายปลีกให้ถูกกว่าดีเซลหมุนเร็วธรรมดา (B7) ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 2 และ 3 บาท/ลิตร ตามลำดับ
การใช้น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์ (Jet A1) เฉลี่ยอยู่ที่ 19.3 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.8% การใช้ LPG เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 17.8 ล้านกิโลกรัม/วัน ลดลงจากปีก่อนคิดเป็น 0.2% แต่เมื่อพิจารณาปริมาณการใช้แยกประเภท พบว่า การใช้ LPG ในภาคปิโตรเคมีมีปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 7.4 ล้านกิโลกรัม/วัน คิดเป็น 7.9% แต่การใช้ในประเภทอื่นๆ มีปริมาณการใช้ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ปีก่อน โดยภาคครัวเรือน มีปริมาณการใช้อยู่ที่ 5.8 ล้านกิโลกรัม/วัน คิดเป็นอัตราลดลง 1.8% ภาคอุตสาหกรรมมีปริมาณการใช้อยู่ที่ 1.8 ล้านกิโลกรัม/วัน คิดเป็นอัตราลดลง 3.9% และภาคขนส่งลดลงมากที่สุด มีปริมาณการใช้อยู่ที่ 2.8 ล้านกิโลกรัม/วัน คิดเป็นอัตราลดลง 12.6%
การใช้ NGV เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 5.4 ล้านกิโลกรัม/วัน ลดลงจากปีก่อน คิดเป็น 11.7% โดยมีสาเหตุมาจากการปรับราคา NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลทั่วไปให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ประกอบกับนโยบายส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B20 สำหรับรถบรรทุกขนาดใหญ่ทำให้ประชาชนและรถบรรทุกสินค้าหันไปใช้ดีเซลหมุนเร็ว B20 ทดแทน ส่งผลให้สถานีบริการ NGV นอกแนวท่อทยอยปิดตัวลงต่อเนื่องเช่นกัน
การนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง มีปริมาณรวมลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 854,940 บาร์เรล/วัน คิดเป็นอัตราลดลง 10.1% โดยมีมูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบคิดเป็น 54,982 ล้านบาท/เดือน สำหรับน้ำมันสำเร็จรูปมีปริมาณนำเข้าเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 104,118 บาร์เรล/วัน คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 73.8% และมีมูลค่าการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ที่ 7,032 ล้านบาท/เดือน สำหรับการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน พบว่า มีการนำเข้าน้ำมันเบนซิน ดีเซลพื้นฐาน น้ำมันเตา และน้ำมันอากาศยานเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวมีการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นและ Emergency Shutdown ทำให้ต้องลดปริมาณการนำน้ำมันดิบเข้ากลั่นกระทบต่อปริมาณการผลิตของผลิตภัณฑ์ทุกชนิด จึงต้องมีการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปเพื่อไม่ให้กระทบต่อความต้องการใช้ในประเทศ ในขณะที่มีการนำเข้า LPG ลดลง เนื่องจากมีความต้องการใช้ในประเทศลดลง
การส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป มีปริมาณลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน เฉลี่ยอยู่ที่ 165,605 บาร์เรล/วัน คิดเป็นอัตราลดลง 22.6% โดยมีมูลค่าการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปเฉลี่ย 11,104 ล้านบาท/เดือน โดยพบว่า มีการส่งออกน้ำมันเบนซิน ดีเซลพื้นฐาน น้ำมันเตา น้ำมันอากาศยานและก๊าด และ LPG ลดลง