นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เตรียมเสนอชุดมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) พิจารณาในวันที่ 31 ม.ค.นี้ โดยหนึ่งในมาตรการดังกล่าวคือ การคืนเงินสด (Cash Back) ให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ใช้จ่ายเงินในประเทศไทยเกินกว่าคนละ 3 หมื่นบาทขึ้นไป จะได้คืนเงิน 7% และจะมีการกำหนดเพดานสูงสุดของเงินคืนดังกล่าว
พร้อมยืนยันว่าจะไม่ใช่การให้เงินสดหรือออกคูปองแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติเพื่อให้นำมาใช้จ่ายในประเทศ ซึ่งเป็นการเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
"เราจะ cash back ให้จากค่าใช้จ่ายที่เขาได้จ่ายไป ท่านรัฐมนตรีไม่มีแนวคิดแจกเงินแน่นอน อันนี้จะเป็นเหมือนกระเป๋า 2 (ในชิมช้อปใช้) คือต้องเข้ามาใช้จ่ายและมีค่าใช้จ่ายเบื้องต้นก่อน เช่น มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยคนละ 5 หมื่นบาท/คน ท่านอาจต้องใช้จ่ายอย่างต่ำ 3-4 หมื่นบาทก่อน หลังจากนั้นจึงจะได้ cash back คืน จะกี่เปอร์เซนต์ก็ว่ากันไป นี่คือแนวคิด ไม่ใช่การแจกเงินสด...จะมี option ไว้ว่าต้องใช้จ่ายเริ่มต้นตั้งแต่ 30,001 บาท ถ้าใช้จ่ายไม่ถึง 30,000 บาทจะไม่ได้คืน จะ cash back ให้เท่ากับการแข็งค่าของเงินบาทที่ 7% แต่เราจะกำหนดเป็น maximum ไว้ว่าจะได้ cash back คืนไม่เกินกี่บาท" ผู้ว่าการ ททท.กล่าว
อย่างไรก็ดี มาตรการดังกล่าวจะเป็นมาตรการระยะสั้น ซึ่งอาจนำมาใช้เฉพาะในช่วง Low Season เท่านั้น ส่วนข้อสรุปสุดท้ายในเรื่องวงเงินค่าใช้จ่าย อัตราการ cash back รวมทั้งระยะเวลาการบังคับใช้มาตรการจะก็ต้องขึ้นกับที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจ จะเป็นผู้พิจารณา
พร้อมกันนั้น จะเร่งการหาตลาดใหม่ทดแทนตลาดนักท่องเที่ยวจีนที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จากเมืองอู่ฮั่นที่คาดว่าจะหายไปจากที่เคยเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเดือนละราว 8 แสนคนหลังจากจีนใช้มาตรการปิดประเทศเพื่อป้องกันการรแพร่ระบาด และประเมินเบื้องต้นว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะกินเวลายาวนานราว 3 เดือน
"จะประชุมกับเอกชนวันพรุ่งนี้ 10 โมงเช้าที่ ททท. และจากนั้นจะประชุมกับ ครม.เศรษฐกิจในวันศุกร์นี้ (31 ม.ค.) ท่านนายกฯ ให้เร่งรีบดำเนินการ วาระร้อนสุด คือการรับมือสถานการณ์โรคระบาด" ผู้ว่าการ ททท.ระบุ
ปัจจุบันมีข้อมูลว่า ยอดนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยเฉลี่ยเดือนละ 8 แสนคน มีค่าใช้จ่ายราว 50,000 บาท/คน/ทริป อย่างไรก็ดี จากการที่ประเทศไทยไม่ใช่ต้นตอการระบาดของโรค ดังนั้นจึงยังสามารถสร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยวอื่นๆ ในการเดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยได้ รวมถึงการหาตลาดอื่นมาทดแทนตลาดนักท่องเที่ยวจีน เช่น ตลาดประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงอินเดีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เป็นต้น ขณะเดียวกัน ก็จะต้องกระตุ้นตลาดการท่องเที่ยวในประเทศด้วยการให้คนไทยหันมาท่องเที่ยวในไทยมากขึ้นด้วยเช่นกัน
"ตลาดทดแทนที่มองไว้ คือตลาดระยะใกล้ เดินทางไม่เกิน 6 ชม. ซึ่งรวมถึงประเทศเพื่อนบ้านของไทย รวมถึงอินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลี เป็นตลาดที่เราให้ความสำคัญและให้น้ำหนัก แต่ขณะเดียวกัน การทดแทนตลาดต่างประเทศที่หายไปถือว่ามีความสำคัญ ดังนั้นเราต้องกระตุ้นทั้ง 2 ส่วน คือ การหาตลาดต่างประเทศเข้ามาทดแทน ขณะเดียวกันก็ต้องกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้นด้วย" ผู้ว่าการ ททท.กล่าว
พร้อมระบุว่า ในปี 2563 นี้จะพยายามทำให้ได้ตามที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวในไทย 41 ล้านคน โดยเชื่อว่าจะพยายามทำให้ได้อย่างน้อย 40 ล้านคนในปีนี้
"ต้องพยายามกันเต็มที่ เนื่องจากมีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี ประกอบกับเศรษฐกิจโลกไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ต้องพยายามมากขึ้น เพื่อไม่ให้หลุดเป้าไปมากกว่านี้ ขณะเดียวกัน รมว.ท่องเที่ยว และ ครม.ให้ความสำคัญเรื่องนี้ ซึ่งวันศุกร์นี้ ( 31 ม.ค.) จะมีการประชุมครม.เศรษฐกิจ คิดว่าน่าจะมีมาตรการดีๆ ออกมา ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่ รมว.ท่องเที่ยวได้หารือกับเอกชนด้วย และมีการประเมินในช่วงเวลาที่ผ่านมา รวมถึงการถอดบทเรียนโรคซาร์ส คงจะต้องเดินไปข้างหน้าด้วยกันทั้งภาครัฐและเอกชน" นายยุทธศักดิ์กล่าว