นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า ในการประชุมหน่วยงานของกระทรวงดีอีเอสได้ติดตามความคืบหน้าโครงการและแผนงานสำคัญที่กระทรวงฯจะผลักดันเป็นอันดับแรกในปีนี้ ได้แก่ เร่งสร้างกลไกรองรับการลงทุนในเทคโนโลยี 5G โดยให้ บมจ.ทีโอที (TOT) และ บมจ.กสท โทรคมนาคม (CAT) ที่จะเข้าร่วมประมูลโครงข่าย 5G เป็นผู้ดำเนินการ
ทั้งนี้ กระทรวงเชื่อว่าการประมูลโครงข่ายเทคโนโลยี 5G คือประตูสำคัญสู่การมีเทคโนโลยี 5G ของประเทศไทยยิ่งประมูลได้เร็วก็เท่ากับว่าสามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติและเพิ่มการจ้างงานให้ทันกับผลจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน จะทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ 190 บริษัทย้ายฐานออกจากประเทศจีนไปยังประเทศใหม่ โดยประเทศไทยจึงต้องพร้อมมีโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีอย่าง 5G รองรับการลงทุนนี้ไม่ให้ฐานการลงทุนย้ายไปเป็นประเทศอื่น
โดยรัฐบาลมีแผนที่จะต่อยอดศูนย์ทดสอบ 5G (5G Testbed) ที่นำร่องไว้กับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์วิทยาเขตศรีราชาเพื่อเกาะติดโอกาสการประยุกต์ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G และหนุนเสริมบทบาทการเป็นหน่วยงานรัฐที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีดิจิทัล
สำหรับความคืบหน้าของกระบวนการจัดตั้ง บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติควบรวม TOT และ CAT เมื่อวันที่ 14 ม.ค.ที่ผ่านมาทั้งสองรัฐวิสาหกิจจะเริ่มกระบวนการว่าจ้างที่ปรึกษา 3 ด้าน ได้แก่ ด้านกฎหมาย ด้านการควบรวมกิจการ และด้านทรัพยากรบุคคลทำการศึกษาเพื่อจัดทำแผนธุรกิจและโครงสร้างการดำเนินการทั้งหมดเพื่อให้การควบรวมแล้วเสร็จภายใน 6 เดือน
นอกจากนั้น นายพุทธิพงษ์ ยังกล่าวอีกว่า กระทรวงจะทำการศึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาที่บริษัทสตาร์ทอัพไทยหนีไปจดทะเบียนที่ประเทศสิงคโปร์แทนที่จะจดทะเบียนในประเทศไทย และยังมีแนวคิดให้สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลไปเปิดสำนักงานในซิลิคอนวัลเลย์ของสหรัฐเพื่อนำเสนอผลงานของสตาร์ทอัพให้กับยริษัทไฮเทคชั้นนำของโลกด้วย