นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยจากการที่นาย Atsushi Taketani ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น กรุงเทพฯ (JETRO Bangkok) และคณะผู้แทนหอการค้าญี่ปุ่น - กรุงเทพฯ (JCCB) เข้าพบเพื่อรายงานผลการสำรวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทยช่วงครึ่งหลังของปี 62 ว่า ญี่ปุ่นและไทยเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน แม้ว่าขณะนี้ไทยกำลังประสบปัญหาทั้งผลกระทบจากสงครามเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ปัญหาภัยแล้ง การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธ์ใหม่ 2019 และฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 แต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการดำเนินนโยบายของรัฐบาล
JCCB ได้สำรวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนในประเทศไทยเป็นประจำทุกปี ปีละ 2 ครั้ง เพื่อสะท้อนสภาพธุรกิจของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทยอย่างครอบคลุม ซึ่งจากการสำรวจแนวโน้มฯ โดยส่งแบบสอบถามไปยังบริษัทสมาชิก JCCB สอบถามในประเด็นต่าง ๆ ระหว่างวันที่ 1 พ.ย.-3 ธ.ค.62 มีแนวโน้มเศรษฐกิจหรือ DI อยู่ที่ –19 ในช่วงครึ่งแรกของปี 62 ส่วนช่วงครึ่งหลังของปี 62 ปรับตัวมาอยู่ที่ –38 และตัวเลขคาดการณ์ในช่วงครึ่งแรกของปี 63 อยู่ที่ -18
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 62 เศรษฐกิจไทยเกิดการชะลอตัว เนื่องมาจากหลายสาเหตุ เช่น การแข็งค่าของเงินบาท ส่งผลให้ดัชนี DI ยังคงอยู่ในแดนลบอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงครึ่งแรกของปี 62 ส่วนครึ่งแรกของปี 63 ค่าดัชนี DI มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น
ขณะที่ผู้ประกอบการยังคงมีความวิตกกังวลกับสภาวะความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก การแข็งค่าของเงินบาท และมีข้อเรียกร้องให้รัฐบาลไทย รวมทั้งกระทรวงฯ เช่น ให้รัฐบาลไทยส่งเสริมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการสาธารณูปโภค เพื่อให้การนำเข้า-ส่งออกสินค้าของญี่ปุ่นสะดวกมากยิ่งขึ้น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล การพัฒนาปรับปรุงระบบการบังคับใช้ระบบศุลกากร พิธีการศุลกากร และการรักษาเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจเกี่ยวกับพื้นที่ EEC มีบริษัทญี่ปุ่นให้ความสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC ถึง 129 บริษัท เพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีความสนใจ 81 บริษัท ทั้งนี้ การดำเนินการของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทยจะประสบผลสำเร็จได้เป็นอย่างดี ส่วนหนึ่งต้องได้รับการผลักดันด้านนโยบายจากกระทรวงฯ
นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตั้งคณะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินนโยบายเร่งรัดการลงทุนภายในประเทศ แม้จะประสบปัญหาเรื่องงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ที่อยู่ระหว่างการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คาดว่าวันที่ 7 ก.พ.63 จะมีความชัดเจนว่าจะสามารถดำเนินการต่อไปได้หรือไม่ หากเป็นไปตามการคาดการณ์คือ สามารถประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณประจำปี 2563 ได้ กระทรวงฯ พร้อมเดินหน้าโครงการต่าง ๆ ทันที เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้กระทรวงคมนาคมเตรียมความพร้อมในการดำเนินโครงการในปี 63 ซึ่งกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่างบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ไม่มีปัญหา ต้องพร้อมดำเนินการได้ทันทีเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่หากกรณีเกิดปัญหา ก็ให้ประสานสำนักงบประมาณเพื่อกู้เงินมาดำเนินการโครงการไปก่อน เมื่อพ.ร.บ.งบประมาณ สามารถใช้ได้แล้วก็ให้นำไปใช้คืนเงินกู้ ซึ่งขณะนี้เพดานหนี้สาธารณะยังมีช่องว่างอยู่อีกประมาณ 20%
ส่วนผลการสำรวจฯ ที่บริษัทญี่ปุ่นให้ความสนใจการพัฒนาสาธารณูปโภคเชื่อมโยงพื้นที่ EEC นั้น รัฐบาลไทยได้ดำเนินการเรื่องดังกล่าวอย่างจริงและมีความคืบหน้า ทั้งการก่อสร้างท่าอากาศยานอู่ตะเภา ขณะนี้ประกาศผลผู้ชนะการประมูลแล้ว โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มีการลงนามในสัญญาแล้วเมื่อช่วงปลายปี 62 และการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 ขณะนี้ได้ผลการประกวดราคาผู้รับจ้างแล้ว สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าของ EEC และคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมใช้งานได้ประมาณปี 67-68 ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการเพื่อสร้างความสะดวกให้นักลงทุน อาจจะเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนในพื้นที่ EEC ของบริษัทญี่ปุ่นต่อไป
นอกจากนี้เมื่อวันที่ 3 ก.พ.ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้ประชุมคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ และได้เห็นชอบกรอบแนวคิดการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ 4 พื้นที่ ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันตก และภาคใต้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้มีการศึกษาให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี ทั้งนี้ ขอให้ JETRO และ JCCB พิจารณาเพิ่มความถี่การสำรวจดังกล่าวให้มากขึ้น เช่น รายไตรมาส 3 เดือน เนื่องจากข้อมูลเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง สามารถนำมาประกอบการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ทันต่อสถานการณ์ และสามารถกำหนดนโยบายให้สอดคล้องกับความต้องการของนักลงทุน เพราะคณะรัฐมนตรีมีการประชุมคณะต่าง ๆ เป็นประจำทุกเดือน ในส่วนของกระทรวงฯ จะนำข้อมูลในครั้งนี้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป