นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ตามที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ได้มอบนโยบายให้กรมฯ เตรียมฟื้นการเจรจา FTA ไทย-สหภาพยุโรป (EU) หลังได้เคยเจรจากันไปแล้ว 4 รอบ แต่หยุดชะงักไปในปี 2557 โดยล่าสุดได้รับสัญญาณจากอียูว่า อยู่ระหว่างเดินหน้าพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะฟื้นการเจรจา FTA กับไทยเช่นกันนั้น ขณะนี้กรมฯ อยู่ระหว่างการเร่งสรุปผลการศึกษาประโยชน์ และผลกระทบจากการฟื้นการเจรจา FTA ไทย-อียู ที่ได้มอบสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา (IFD) ดำเนินการ คาดว่าจะเสร็จสิ้นในช่วงต้นเดือนมี.ค.นี้ และจะเผยแพร่ผลการศึกษาดังกล่าวในเว็บไซต์ของกรมฯ
หลังจากนั้น จะนำผลการศึกษาและผลการลงพื้นที่รับฟังความเห็นภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน เกษตรกร และภาคประชาสังคม ที่จัดขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดในภูมิภาคต่างๆ ทั่วไทยในปี 2562 เสนอคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) ซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิจารณา ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป คาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปภายในกลางปีนี้ ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงเวลาที่ EU จะทราบผลการพิจารณาการฟื้นการเจรจา FTA กับไทยจากระดับนโยบายของ EU เช่นกัน ซึ่งกรมฯ จะดำเนินการให้รอบคอบที่สุด
นางอรมน กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการศึกษาจะพิจารณารวมไปถึงประเด็นที่คาดว่า EU จะหยิบยกขึ้นเจรจากับไทย โดยศึกษาจาก FTA ที่ EU เจรจากับประเทศต่างๆ ทั้งที่ลงนามแล้วกับเวียดนาม สิงคโปร์ กลุ่มประเทศเมอร์โคซูร์ (บราซิล อาร์เจนตินา อุรุกวัย ปารากวัย) และที่อียูอยู่ระหว่างเจรจากับอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เป็นต้น ซึ่งพบว่า FTA ที่ EU เจรจากับคู่ค้าครอบคลุมหลายเรื่องทั้งการเปิดตลาดสินค้า บริการ และการลงทุน การกำหนดกฎระเบียบการค้าต่างๆ เช่น สุขอนามัยพืชและสัตว์ กฎระเบียบทางเทคนิคด้านการค้า ทรัพย์สินทางปัญญา การแข่งขัน พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ การพัฒนาที่ยั่งยืน การระงับข้อพิพาททางการค้า และ SME เป็นต้น ซึ่งมีรายละเอียด เงื่อนไข ข้อผูกพัน และข้อยกเว้นที่ต่างกันไป
นางอรมน ระบุว่า เมื่อวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมา รัฐสภายุโรปได้มีมติรับรองผลการเจรจา FTA ระหว่าง EU กับเวียดนาม จึงคาดว่า FTA ดังกล่าวจะมีผลใช้บังคับในปีนี้ ทำให้มีข้อกังวลว่าจะส่งผลให้เวียดนามได้เปรียบไทยในเรื่องการส่งออก โดยเฉพาะการส่งออกสินค้า เช่น สินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น รวมถึงการจ้างงาน และการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
"จึงอยากให้ผู้ประกอบการไทย ให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนาคุณภาพ และความปลอดภัยของสินค้าให้ได้ตามมาตรฐานที่อียูยอมรับ เพราะผู้บริโภคอียูให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของไทย ขณะเดียวกันไทยต้องเร่งพัฒนาแรงงานมีฝีมือ และปัจจัยแวดล้อมที่จะช่วยดึงดูดการลงทุนต่างประเทศในไทย" นางอรมนระบุ
ปัจจุบัน EU มีสมาชิก 27 ประเทศ มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ประชากรรวมกันกว่า 447 ล้านคน เป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 5 ของไทย รองจากอาเซียน จีน ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา และเป็นนักลงทุนลำดับ 2 ของไทย รองจากญี่ปุ่น โดย EU มีความก้าวหน้าทางนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เกื้อหนุนเชิงยุทธศาสตร์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย ในปี 2562 EU 27 ประเทศ มี GDP กว่า 15.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และมีการค้ากับไทยรวมมูลค่า 3.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นการส่งออกจากไทยไป EU รวมมูลค่า 2.0 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เช่น คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ รถยนต์และชิ้นส่วน อัญมณีและเครื่องประดับ ยางและไก่แปรรูป และการนำเข้าจาก EU รวมมูลค่า 1.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เช่น เครื่องจักรและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ เป็นต้น