คลังจับตาศก.ไทยปี 63 ใกล้ชิด พร้อมออกมาตรการเพิ่มเติม หลังพบ GDP Q4/62 ร่วงต่ำกว่าคาด

ข่าวเศรษฐกิจ Monday February 17, 2020 16:23 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า วันนี้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ได้ประกาศอัตราการขยายตัวผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของไทยในไตรมาส 4 ปี 2562 ว่าขยายตัวได้ 1.6% และเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2562 ขยายตัวได้ 2.4% ต่อปี ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ชะลอลงจากปี 2561 ที่ขยายตัว 4.2% ต่อปี

โดยสาเหตุหลักของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ที่ขยายตัวชะลอลง มาจาก (1) มูลค่าการส่งออกสินค้าที่หดตัว -4.9% เร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 0% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว (2) ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวในระดับสูง โดยเฉพาะในหมวดยานยนต์จากการลดสายการผลิตรถยนต์รุ่นเดิมเพื่อรอเปลี่ยนโมเดลรถยนต์รุ่นใหม่ และหมวดน้ำมันปิโตรเลียมจากการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นชั่วคราวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเลียมหลายแห่ง ซึ่งในปัจจุบันได้กลับมาดำเนินการผลิตตามปกติแล้ว ดังนั้น ผลกระทบต่อผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นถือเป็นปัจจัยชั่วคราว และ (3) การลงทุนภาครัฐจะชะลอตัว โดยมีสาเหตุมาจากความล่าช้าของการบังคับใช้พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายปี 2563

อย่างไรก็ดี พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2563 ได้ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาแล้ว ขณะที่การลงทุนรัฐวิสาหกิจยังคงเบิกจ่ายได้ดี เป็นผลมาจากกระทรวงการคลังได้มีการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจอย่างต่อเนื่อง โดยให้รัฐวิสาหกิจเร่งเบิกจ่ายให้เร็วขึ้นในส่วนโครงการที่สามารถดำเนินการได้ก่อน (Front-Loaded) เพื่อให้เม็ดเงินลงทุนภาครัฐเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในไตรมาส 4 ปี 2562 โดยในช่วงดังกล่าว รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายได้ขยายตัวเพิ่มขึ้น 34% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยรัฐวิสาหกิจที่เบิกจ่ายได้ดี ได้แก่ บมจ. ปตท. (PTT), การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย, การไฟฟ้านครหลวง, และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีองค์ประกอบทางเศรษฐกิจที่ขยายตัว เช่น การบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งมาจากผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 เช่น มาตรการชิมช้อปใช้ และมาตรการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีผลต่อการบริโภคภาคเอกชนให้กลับมาฟื้นตัว และมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น และภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ขยายตัวเร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาการที่กระทรวงการคลังออกมาตรการเพื่อดูแลภาคอสังหาริมทรัพย์เมื่อเดือนธันวาคม 2562

นายลวรณ กล่าวว่า สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2563 ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าจะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงไตรมาส 1 ปี 2563 ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน และส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงรายได้ของภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว

ในการนี้ กระทรวงการคลังจึงได้มีการดำเนินมาตรการการเงินการคลัง เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาคธุรกิจการท่องเที่ยว ปี 2563 โดยจะช่วยเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวผ่านสถาบันการเงินของรัฐ แบ่งเบาภาระให้ผู้ประกอบกิจการโรงแรมสามารถหักรายจ่ายสำหรับเงินได้เท่ากับรายจ่ายในการปรับปรุงกิจการโรงแรมเป็นจำนวน 1.5 เท่า ส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยการให้หน่วยงานสามารถหักรายจ่ายสำหรับเงินได้เท่ากับรายจ่ายในจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศเป็นจำนวน 2 เท่า รวมถึงบรรเทาผลกระทบให้แก่ประชาชนผู้เสียภาษี โดยการขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไปเป็นภายในเดือนมิ.ย.63

กระทรวงการคลัง ได้มีการดำเนินมาตรการการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการลงทุนภายในประเทศปี 2563 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยและกระตุ้นการลงทุนภายในประเทศ ซึ่งประกอบด้วยมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ มาตรการยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร และมาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการพัฒนาและปรับปรุงการผลิตสินค้าให้มีศักยภาพสูงขึ้น อย่างไรก็ดี ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถก้าวผ่านสถานการณ์ดังกล่าวไปได้

"กระทรวงการคลังจะติดตามสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด และมีความพร้อมที่จะดำเนินมาตรการดูแลเศรษฐกิจเพิ่มเติม" โฆษกกระทรวงการคลังระบุ

โดยเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันมีพื้นฐานแข็งแกร่ง ไม่มีแรงกดดันด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ ทั้งอัตราเงินเฟ้อต่ำ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล และฐานะทางการคลังสะท้อนจากหนี้สาธารณะต่อ GDP เพียง 41.3% ถือว่ายังอยู่ในระดับที่เข้มแข็งมาก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ