น.ส.วิมลกานต์ โกสุมาศ รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) รักษาการแทนผู้อำนวยการ เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เฉพาะกิจ) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานว่า ที่ประชุมเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลอดจนการแก้ไขปัญหาเงินบาทแข็งค่า เพื่อช่วยเหลือ SME ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณปี 2562-2563 โดยให้จัดสรรเงินจากกองทุน สสว.เพื่อใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย จำนวนประมาณ 10,000 ล้านบาท ภายใต้มาตรการเพื่อการกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 ม.ค.63 ซึ่งแบ่งการดำเนินงานเป็น 2 ส่วน ดังนี้
1.โครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย วงเงิน 5,000 ล้านบาท ซึ่งจะมีผู้ประกอบการได้รับการสนับสนุนไม่น้อยกว่า 4,890 ราย แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ บุคคลธรรมดา วงเงินกู้ไม่เกิน 500,000 บาท นิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดาที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม วงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 1.0% ต่อปี ระยะเวลากู้ไม่เกิน 7 ปี ระยะปลอดชำระคืนเงินต้นไม่เกิน 1 ปี ดำเนินการโดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ธพว.)
2.สนับสนุนงบประมาณโครงการ บสย. SMEs สร้างไทย โดย สสว.จ่ายเงินสมทบในการจ่ายค่าประกันชดเชยให้กับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จำนวน 5,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลืออุดหนุน SMEs ระยะเวลาค้ำประกันไม่เกิน 10 ปี โดยให้เป็นเงินสมทบในการจ่ายค่าประกันชดเชยให้ บสย.ในอัตรา 10% ส่วน บสย.จ่ายค่าประกันชดเชยในอัตรา 30% รวมเป็นค่าประกันชดเชย 40% ทั้งนี้จะมีผู้ประกอบการที่ได้รับความช่วยเหลือไม่น้อยกว่า 70,000 ราย
โครงการส่งเสริมความรู้ด้านบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและสนับสนุน SME ที่ทำการค้าระหว่างประเทศ (FX Option) เสนอโดยธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อผ่อนภาระของผู้ประกอบการและแรงกดดันจากเงินบาทแข็งค่าวงเงิน 450 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 2 ระยะๆ แรก วงเงินงบประมาณ 225 ล้านบาท และระยะที่ 2 วงเงินงบประมาณ 225 ล้านบาท พิจารณาอนุมัติวงเงินอุดหนุน 100,000 บาทต่อราย ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการที่ทำการค้าระหว่างประเทศมีความรู้จากโครงการดังกล่าวจำนวน 2,000 ราย โดยมีธนาคารรัฐ 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และธนาคารเอกชน 8 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกร ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารทหารไทย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย และ ธนาคารยูโอบี เป็นหน่วยร่วมดำเนินงาน สำหรับการจัดสรรเงินกองทุน สสว.เพื่อใช้ในการดำเนินงานมาตรการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมครบวงจร (มาตรการ MSME 2020) งบประมาณ 215 ล้านบาท ดำเนินการ 13 มาตรการ โดยมุ่งเน้นไปยังประเด็นต่างๆ ได้แก่ 1.การปรับสถานะกองทุนภาครัฐที่เป็นแหล่งเงินทุนสำหรับ MSME ให้เป็นเงินทุนหมุนเวียน 2.การให้ บสย. พิจารณาการค้ำประกันทางตรงแก่ SME ที่มีศักยภาพ 3.สินเชื่อระยะสั้น-กลางสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย 4.พัฒนาระบบการให้ความรู้ในการดำเนินธุรกิจแบบครบวงจร (SME Academy 365) 5.การส่งเสริมการจัดทำบัญชีของวิสาหกิจชุมชนและวิสาหกิจรายย่อย 6.ระบบคูปองเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับวิสาหกิจรายย่อยและวิสาหกิจชุมชน 7.พัฒนากลไกกลางในการพัฒาช่องทางการตลาดให้แก่ MSME 8.การจัดมหกรรมการจำหน่ายสินค้า MSME 9.มาตรการ MSME ล้มแล้วลุก 10.การลดอุปสรรคในการฟื้นฟูธุรกิจ 11.การพัฒนาระบบประเมินศักยภาพ SME และฐานข้อมูล SME Big Data 12.การพัฒนาระบบการให้เอกชนสามารถเป็นหน่วยงานในการการให้การส่งเสริม MSME 13.ถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมการพัฒนาระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน
ส่วนการจัดสรรเงินกองทุน สสว.เพื่อดำเนินโครงการศึกษาเพื่อขับเคลื่อนการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Do Business) ระยะที่ 3 งบประมาณ 40 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินโครงการ 2 ปี เพื่อจัดทำนโยบายการปฏิรูปปรับปรุงแผนปฏิบัติการและจัดทำข้อเสนอแนะแนวทางเพื่อช่วยผลักดันอันดับของประเทศไทยในรายงานความยากง่ายในการประกอบธุรกิจให้ดีขึ้น ซึ่งตัวชี้วัดสำคัญที่ธนาคารโลกต้องการให้ปรับปรุงคือ การเข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐของ SMEs โดยมีสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ
"ภาพรวมมาตรการส่งเสริม SME ของ สสว. แบ่งเป็นมาตรการด้านการเงิน 10,450 ล้านบาท ได้แก่ โครงการสนับสนุน SME รายย่อย ผ่านกองทุน สสว. 5,000 ล้านบาท อุดหนุนผ่านโครงการ บสย. สร้างไทย 5,000 ล้านบาท โครงการ FX Option 450 ล้านบาท รวมทั้งสนับสนุนมาตรการ MSME 2020 วงเงิน 215 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 10,665 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นแนวทางการทำงานของ สสว. ในการขับเคลื่อน SME เพื่อนำไปปรับปรุง ซ่อมแซม ยกระดับการพัฒนาการให้บริการและขยายกำลังการผลิต ซึ่งจะทำให้กิจการสามารถดำเนินงานต่อไปได้ ส่งผลให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้จะทำให้เศรษฐกิจเกิดการหมุนเวียนของเงินทุนในระบบ และยังเป็นการรักษาการจ้างงาน หรือเกิดการจ้างงานเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย" น.ส.วิมลกานต์ กล่าว