นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) มีมติให้ปรับอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับกลุ่มดีเซล เพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ก่อนหน้านี้ที่เห็นชอบแนวทางการส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซล ด้วยการขยายส่วนต่างราคาดีเซล B10 ให้ถูกกว่าดีเซล B7 ที่ 3 บาท/ลิตร และลดส่วนต่างราคาดีเซล B20 ให้ต่ำกว่าดีเซล B10 ที่ 0.50 บาท/ลิตร
สำหรับการปรับอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับกลุ่มดีเซล ประกอบด้วย B7 จากเดิมจัดเก็บ 0.25 บาท/ลิตร เป็น 1 บาท/ลิตร , B10 จากเดิมชดเชย 2 บาท/ลิตร เป็นชดเชย 2.50 บาท/ลิตร และ B20 จากเดิมชดเชย 3.91 บาท/ลิตร เป็นชดเชย 4.41 บาท/ลิตร โดยมีผลตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันหน้าสถานีบริการน้ำมันเปลี่ยนแปลงทันทีตั้งแต่วันพรุ่งนี้เช่นกัน
โดยราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล B7 สูงกว่าน้ำมัน B10 ในอัตรา 3 บาท/ลิตร จากปัจจุบันมีส่วนต่าง 2 บาท/ลิตร และราคาน้ำมัน B20 ต่ำกว่า B10 ในอัตรา 0.50 บาท/ลิตร จากปัจจุบันมีส่วนต่าง 1 บาท/ลิตร ขณะที่ราคาน้ำมัน B20 จะต่ำกว่า B7 ในอัตรา 3.50 บาท/ลิตร จากปัจจุบันมีส่วนต่าง 3 บาท/ลิตร
การปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯครั้งนี้ จะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันหน้าสถานีบริการน้ำมันสำหรับกลุ่มดีเซล ในวันพรุ่งนี้ เป็นดังนี้ B7 เพิ่มขึ้น 0.50 บาท/ลิตร เป็น 26.09 บาท/ลิตร และ B10 ลดลง 0.50 บาท/ลิตร เป็น 23.09 บาท/ลิตร ส่วนราคา B20 ยังคงระดับเดิมที่ระดับ 22.59 บาท/ลิตร
สำหรับสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯภายหลังการปรับอัตราเงินใหม่จะเปลี่ยนไป โดยบัญชีน้ำมันจะมีเงินไหลออกเพิ่มเป็น 819 ล้านบาท/เดือน จากวันที่ 26 ก.พ.63 มีเงินไหลออก 413 ล้านบาท/เดือน และเมื่อรวมกับบัญชี LPG ที่มีเงินไหลเข้าอยู่ที่ 32 ล้านบาท/เดือน จะทำให้กองทุนน้ำมันฯมีเงินไหลออก อยู่ที่ 787 ล้านบาท/เดือน
ณ วันที่ 26 ก.พ.63 ประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันฯสุทธิ อยู่ที่ 36,005 ล้านบาท แบ่งเป็น ประเภทน้ำมัน 41,522 ล้านบาท และประเภท LPG ติดลบ 5,517 ล้านบาท
นายวีระพล กล่าวว่า นับตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.ที่ทุกสถานีบริการน้ำมันจะมีการจำหน่ายน้ำมัน B10 และการปรับเงินกองทุนน้ำมันฯครั้งนี้ ก็คาดว่าจะทำให้การใช้น้ำมันดีเซล B7 ลดลง และมีการใช้น้ำมันดีเซล B10 เพิ่มขึ้นแทนอย่างรวดเร็ว ส่วนน้ำมันดีเซล B20 คาดว่าจะชะลอตัวลง
ด้านนางสาวนันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า ในเดือน มี.ค.63 สถานีบริการน้ำมันที่ผู้ประกอบการเป็นเจ้าของแบรนด์เองทั้งหมด 6,000 แห่ง จะมีจำหน่วยดีเซล B10 ทุกแห่ง ส่วนสถานีบริการน้ำมันที่ไม่ใช้เจ้าของแบรนด์จะทยอยปรับตามในภายหลัง โดยคาดว่าภายหลังปรับส่วนต่างราคาดีเซล B10 ให้ห่างจากดีเซล B7 ถึง 3 บาท/ลิตร จะส่งผลให้เดือนมี.ค.63 ยอดใช้ดีเซล B10 เพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านลิตร/วัน จาก ณ วันที่ 1-23 ก.พ. 63 มียอดใช้ 5.3 ล้านลิตร/วัน ขณะที่ยอดใช้ดีเซล B20 เดือน ก.พ.63 อยู่ที่ 6.8 ล้านลิตร/วัน
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานมีเป้าหมายในเดือนก.ย. 63 จะเกิดการใช้ดีเซล B10 รวม 52 ล้านลิตร/วัน ยอดใช้ดีเซล B20 อยู่ที่ 6 ล้านลิตร/วัน และดีเซล B7 อยู่ที่ 8 ล้านลิตร/วัน จากยอดใช้ดีเซลเฉลี่ยรวมทั้งหมดประมาณ 65 ล้านลิตร/วัน