นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงภาพรวมตลาดหุ้นไทยที่ร่วงแรงในช่วงนี้ว่า ยืนยันว่าไม่มีการปิดซื้อขายตลาดหุ้นเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือจากมาตรการปกติที่ใช้อยู่ เช่น มาตรการพักการซื้อขายชั่วคราว (Circuit Breaker) แต่ได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) หารือมาตรการต่าง ๆ เพื่อดูแลตลาดทุนในระยะนี้
ทั้งนี้ ก.ล.ต.และ ตลท.จะศึกษาการหยุดยั้งพฤติกรรมชอร์ตเซล รวมถึงศึกษาการปรับรูปแบบสินเชื่อเพื่อการซื้อขายหุ้นเพื่อชะลอการบังคับขาย (ฟอร์ซเซล) เพื่อหยุดความร้อนแรงของตลาดหุ้น
"บ่ายนี้ ก.ล.ต.จะประชุมกับตลาดหลักทรัพย์ จะมาดูแลว่าห้ามชอร์ตเซล และเรื่องพฤติกรรมฟอร์ซเซลจะทำอย่างไรจะหยุดมันได้ ตรงนี้มันอยู่ที่เรื่องของสินเชื่อที่นักเล่นหุ้นจะอยู่ได้นานขึ้น"นายสมคิด กล่าว
นายสมคิด มองว่า ความผันผวนของตลาดหุ้นไทยมาจากภาวะตลาดหุ้นที่นิวยอร์กร่วงหนัก และการที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศมาตรการระงับการเดินทางจากประเทศในยุโรปทั้งหมด ส่งผลไปยังภาคการผลิต การเงิน และซัพพลายเชนชะงักหมด รวมถึงการที่อียูปิดตัวเองส่งผลให้ซัพพลายเชนทั่วโลกหายไป ทุกประเทศต้องอยู่ได้ด้วยลำแข้งตัวเอง รวมถึงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ไปทั่วโลกทั้งสหรัฐอเมริกา อิตาลี และอังกฤษ ซึ่งเมื่อมีการเทขายหุ้นก็จะเป็นแบบเดียวกันทั่วโลก รวมถึงไทยด้วย
ส่วนการจัดตั้งกองทุนพยุงหุ้นนั้นคาดว่าจะเสนอนายกรัฐมนตรีในวันจันทร์หน้า ซึ่งเมื่อสมัยวิกฤติต้มยำกุ้งก็เคยมีการออกกองทุนพยุงหุ้น 3 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่ากองทุนพยุงหุ้นกองใหม่ขะใช้เงินจากหลายฝ่ายทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน เชื่อว่าจะสามารถทำให้ตลาดหุ้นสงบลงได้
พร้อมกันนั้น รัฐบาลเตรียมจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและมาตรการลดผลกระทบโควิด-19 เพิ่มเติมทั้งรูปแบบใช้เงินและไม่ใช่เงิน โดยคาดว่ามาตรการอาจออกมาในช่วงเดือน เม.ย.นี้
นายสมคิด กล่าวยอมรับว่า ไวรัสโควิด-19 ถือเป็นวิกฤติเศรษฐกิจโลกครั้งใหม่ และหนักกว่าวิกฤติต้มยำกุ้ง แต่เราไม่ประมาทเอาแค่ประคอง 4-6 เดือนนี้ผ่านไปให้ได้ แต่ยังหวังว่าจีนจะฟื้นตัวได้เร็ว เพราะขนาดเศรษฐกิจใหญ่มาก หากฟื้นเร็ว มีการผลิตเร็วขึ้น จะทำให้ตัวอื่นๆ ดีขึ้นมาได้