นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ในวันนี้กระทรวงพลังงาน โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน(พพ.)ได้เปิดรับฟังความเห็น "(ร่าง) หลักเกณฑ์เงื่อนไขการพิจารณาคัดเลือกผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก(โครงการ Quick Win) หรือโครงการระยะเร่งด่วน" เพื่อเปิดรับซื้อไฟฟ้ารวม 100 เมกะวัตต์ โดยจะพยายามดำเนินการให้เสร็จภายในเดือนมี.ค. 2563 นี้ และกำหนดให้ผลิตไฟฟ้าเข้าระบบ (COD)ภายในสิ้นปี 63
อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มว่าอาจพิจารณาให้ผู้ประกอบการบางรายเลื่อน COD ออกไปเป็นกลางปี 64 ได้ เนื่องจากปัญหาการแพร่ระบาดไวรัส COVID-19 ส่งผลให้ผู้ประกอบการบางรายไม่สามารถนำเข้าอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าได้
นายกุลิศ กล่าวว่า สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนจะแบ่งเป็น 3 เฟส ได้แก่ เฟสที่ 1.กลุ่มโรงไฟฟ้าชุมชนนำร่องที่มีทั้งสิ้น 4 แห่ง ขนาดกำลังผลิตไม่เกินแห่งละ 8 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) 2 โรง ซึ่งแต่เดิมเป็นโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลประชารัฐ ดำเนินการในจังหวัดยะลาและปัตตานี และเป็นของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) 2 โรง ดำเนินการที่อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ใช้ซังข้าวโพดเป็นเชื้อเพลิง และที่อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ผลิตไฟฟ้าจากหญ้าเนเปีย
โดยทั้ง 4 โรงดังกล่าวยังคงกำหนดให้ COD ภายในสิ้นปี 63 เพื่อนำรองและเป็นต้นแบบให้โรงไฟฟ้า Quick Win และโรงไฟฟ้าชุมชนทั่วไป รวมทั้งจะได้ทราบถึงปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นจริงก่อนนำไปปรับใช้กับโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนดังกล่าวต่อไป
เฟส 2 คือโรงไฟฟ้าชุมชนประเภท Quick Win จำนวน 100 เมกะวัตต์ ที่กำลังเปิดประชาพิจารณ์ในครั้งนี้ และเฟส 3 โรงไฟฟ้าชุมชนทั่วไป จำนวน 600 เมกะวัตต์ ซึ่งโครงการนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะเปิดประชาพิจารณ์ได้เมื่อใด เนื่องจากขณะนี้มีปัญหาไวรัสCOVID-19 ทำให้ยากต่อการเปิดให้ประชาชนมาร่วมประชุมเพื่อรับฟังความเห็นพร้อมกันจำนวนมาก แต่ยืนยันว่าโครงการนี้ไม่สามารถเปิดได้ทันในปี 2563 เนื่องจากต้องรอให้โครงการ Quick Win ดำเนินการผลิตไฟฟ้าเข้าระบบให้เสร็จสิ้นก่อน
นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และในฐานะโฆษก กกพ. กล่าวว่า หลังจากกระทรวงพลังงานเปิดรับฟังความเห็นโรงไฟฟ้าชุมชนประเภท Quick Win เรียบร้อยแล้ว ทาง กกพ. จะเร่งจัดทำหลักเกณฑ์สัญญารับซื้อไฟฟ้าดังกล่าว และนำไปเปิดประชาพิจารณ์ภายใน 2 สัปดาห์ จากนั้นจะเสนอต่อบอร์ด กกพ.พิจารณาอีกครั้ง หากผ่านการพิจารณาจะสามารถเปิดรับซื้อไฟฟ้าชุมชนในโครงการ Quick Winได้ทันที
ศูนย์ข่าวพลังงาน(Energy News Center-ENC) รายงานว่า การเปิดประชาพิจารณ์โรงไฟฟ้าชุมชนประเภท Quick Win ในครั้งนี้ กำหนดให้ผู้เสนอขอขายไฟฟ้าต้องผ่านเกณฑ์คุณสมบัติครบทั้ง 10 ข้อ อาทิ จำนวนสมาชิกวิสาหกิจชุมชน หรือเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน ต้องมีไม่น้อยกว่า 200 ครัวเรือน ,มีเอกสารผลการตรวจสอบจุดเชื่อมโยงวงจรไฟฟ้าของสายส่งไฟฟ้า และมีเอกสารแสดงหลักฐานผลการรับฟังความเห็นของชุมชนและเสอนหลักฐานการยอมรับของชุมชน เป็นต้น
ส่วนการให้คะแนนคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการ แบ่งเป็นด้านเทคนิค 40 คะแนน และ ด้านผลประโยชน์ 60 คะแนน ด้านเทคนิค ประกอบด้วยข้อกำหนด 19 ข้อ อาทิ ปริมาณเชื้อเพลิงที่รับซื้อจากวิสาหกิจชุมชนไม่น้อยกว่า 80% ต่อปี ใครให้มากกว่าจะได้คะแนนสูงกว่า ,แผนสำรองกรณีเชื้อเพลิงไม่เพียงพอตามแผนประกอบการ, มีเอกสารแสดงว่ามีแหล่งน้ำที่จะนำมาใช้ สมาชิกวิสาหกิจชุมชนหรือเครือข่ายวิสาหกิจขุมชน อยู่ภายในจังหวัดเดียวกับที่ตั้งโรงฟฟ้า และประสบการณ์การผลิตและจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า เป็นต้น
ด้านผลประโยชน์ อาทิ ส่วนแบ่งรายได้ที่เกิดจากการจำหน่ายไฟฟ้าที่ยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายใดๆ โดยต้องไม่น้อยกว่า 25 สตางค์ต่อหน่าย แต่ถ้าเป็นประเภทผลิตจากแสงอาทิตย์จะต้องไม่น้อยกว่า 50 สตางค์ต่อหน่วย ,เงินพิเศษค่าเชื้อเพลิง โดยผู้ประกอบการต้องทำสัญญารับซื้อเชื้อเพลิงจากเกษตรกร(contract farming) เช่น เมื่อวิสาหกิจชุมชนทำสัญญาส่งเชื้อเพลิงป้อนโรงไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 80% ของกำลังการผลิต แต่สามารถส่งวัตถุดิบได้สูงกว่า 80% จะมีโบนัสให้เท่าไหร่ ,ข้อเสนอจำนวนการจ้างแรงงานภายในพื้นที่จังหวัดที่ตั้งโรงไฟฟ้า สำหรับดำเนินงานในการควบคุมและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า และเงินพิเศษสำหรับกิจกรรมเพื่อสังคม เป็นต้น
อย่างไรด็ตามในการรับฟังความเห็น ผู้ประกอบโรงไฟฟ้าบางส่วนมีความกังวลและต้องการให้ภาครัฐทบทวน อาทิ 1.หากมีข้อเสนอเกินจริงและมีโอกาสจะดำเนินการไม่ได้ จะทำอย่างไรเพื่อสกัดกั้นกลุ่มเหล่านี้ 2.โครงการที่เสนอเข้ามามีการผสมผสานเชื้อเพลิง (Hybrid) เพื่อช่วยลดค่าไฟฟ้าลง ชุมชนจะได้ประโยชน์อย่างไร ซึ่งในส่วนนี้ กรม พพ. ชี้แจงว่า ส่วนแบ่งรายได้ที่ผลิตจากโซลาร์จะต้องส่งให้ชุมชน 50 สตางค์ต่อหน่วย ส่วนเชื้อเพลิงอื่นได้ 25 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งชุมชนจะได้ผลตอบแทนมากขึ้น
3.ต้องการให้ภาครัฐปรับข้อกำหนดที่ระบุให้จ้างแรงงานภายในจังหวัดที่ตั้งโรงไฟฟ้าเท่านั้น และ 4. กฎหมายผังเมืองใหม่ไม่สามารถจัดตั้งโรงงานได้ จึงไม่สามารถขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง.4)ได้ ซึ่งจะกลับไปใช้ใบ รง.4 ของผังเมืองเดิมได้หรือไม่ ซึ่งในส่วนนี้ พพ. ระบุว่า ผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตามกฎหมายผังเมืองอย่างถูกต้องเท่านั้นไม่มีข้อยกเว้นใดๆ