นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ได้ประชุมร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของสถาบันการเงินผ่าน VDO conference เพื่อติดตามความคืบหน้าการช่วยเหลือลูกหนี้ และการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์โควิด-19 ที่อาจระบาดรุนแรงมากขึ้น
ด้านการช่วยเหลือลูกหนี้ของสถาบันการเงิน พบว่า ช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังจาก ธปท. ออกมาตรการส่งเสริมให้สถาบันการเงินปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุกเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 สถาบันการเงินทั้งระบบได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้แล้วประมาณ 30,000 ราย เป็นมูลค่า 234,000 ล้านบาท ซึ่งมีทั้งการพักหนี้เงินต้น ลดอัตราดอกเบี้ย ปรับระยะเวลาการชำระหนี้ให้ยาวขึ้น เพื่อลดภาระในการผ่อนหนี้ของลูกหนี้ สถาบันการเงินหลายแห่งได้จัดทำกระบวนการทำงานพิเศษ อาทิ ตั้งศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงแบบ one stop service และออก product program สำหรับการปรับโครงสร้างหนี้กลุ่มต่างๆ
อย่างไรก็ดี ลูกหนี้ที่ได้รับการช่วยเหลือแล้วยังค่อนข้างน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจาก โควิด-19 ธปท. จึงกำชับให้ทุกสถาบันการเงินเร่งเข้าไปดูแลลูกหนี้และปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้โดยเฉพาะ SMEs และรายย่อย ต้องปรับกระบวนการทำงานให้เป็นเชิงรุกมากขึ้น และต้องสื่อสารนโยบายจากส่วนกลางลงไปยังสาขาและศูนย์ธุรกิจที่กระจายทั่วประเทศให้รวดเร็วและชัดเจน
นอกจากการเร่งปรับโครงสร้างหนี้แล้ว ธปท. ได้กำชับให้สถาบันการเงินเตรียมพร้อมแผนสำรองเพื่อให้บริการทางการเงินหลักสามารถดำเนินได้ต่อเนื่องในกรณีที่การระบาดรุนแรงขึ้น ซึ่งแผนสำรองต้องครอบคลุมการบริหารจัดการเงินสดให้ประชาชนเบิกถอนได้อย่างทั่วถึงและเพียงพอ ดูแลให้ระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์สามารถรองรับปริมาณธุรกรรมที่จะเพิ่มขึ้นมาก ตลอดจนดูแลธุรกรรมตลาดเงินให้ดำเนินการได้อย่างราบรื่น
ธปท. จะทำงานร่วมกับสถาบันการเงิน สมาคมธนาคารไทย สมาคมธนาคารต่างประเทศ และสภาสถาบันการเงินเฉพาะกิจอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าบริการทางการเงินหลักของประเทศจะดำเนินต่อไปได้ในกรณีที่สถานการณ์การระบาดรุนแรงขึ้น