นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เห็นชอบแผนการบริหารกองทุนพลังงาน ได้แก่ แผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิงและแผนยุทธศาสตร์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตามข้อเสนอของสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ซึ่งเป็นแผนยุทธศาสตร์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2563-2567 โดยมุ่งไปที่ 3 ยุทธศาสตร์สำคัญคือ (1) ยุทธศาสตร์การรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันฯ ในกรณีเกิดวิกฤตด้านราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมีแผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2563-2567 หลายแนวทาง อาทิ การแยกบัญชีตามกลุ่มน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นกลุ่มดีเซล เบนซิน และก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เพื่อหลีกเลี่ยงอุดหนุนราคาข้ามกลุ่มเชื้อเพลิง มีกรอบความต่างของราคาเชื้อเพลิงหลักของกลุ่มดีเซลและเบนซิน การชดเชยราคาน้ำมันฯ เมื่อเกิดวิกฤตเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ทบทวนหลักเกณฑ์บริหารอย่างน้อย ปีละครั้ง โดยมีแบบจำลองสถานการณ์วิกฤตในระดับต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการ
(2) ยุทธศาสตร์การลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันฯ ที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ ในช่วงปี 2563 - 2565 ซึ่งตามพ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงพ.ศ. 2562 กำหนดให้จ่ายเงินชดเชยได้ต่อไปเป็นเวลา 3 ปีนับจากวันกฎหมายบังคับใช้ และต่อได้อีกไม่เกิน 2 ครั้งๆ ละไม่เกิน 2 ปี โดยจะมีหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขและมาตรการเพื่อลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันฯ ที่มีส่วนผสมเชื้อเพลิงชีวภาพในกลุ่มเบนซินและกลุ่มดีเซล และ (3) ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯ ตามหลักธรรมาภิบาล โดยบริหารจัดการตามหลักนิติธรรม คุณธรรม ความโปร่งใส การมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบ หลักความคุ้มค่า เพื่อบริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯที่มีมาตรฐาน มีธรรมาภิบาล
แผนการกำหนดอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยให้อัตราคงเดิมที่ 0.1000 บาท/ลิตร ต่อไปอีกเป็นระยะเวลา 2 ปี (22 เมษายน 2563 – 21 เมษายน 2565) เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระประชาชน เกษตรกร ผู้ประกอบการต่าง ๆ ในเรื่องต้นทุนรายจ่ายด้านพลังงาน จากการพิจารณาระดับฐานะการเงินที่ไม่กระทบภารกิจของกองทุนฯ ในการสนับสนุนการดำเนินโครงการเพื่อขับเคลื่อนนโยบายพลังงาน ซึ่งสถานะการเงินของกองทุนฯ มีสภาพคล่องเพียงพอสำหรับประมาณการรายจ่ายตามกรอบบวงเงินที่อนุมัติให้จัดสรรปี 2563 - 2566 ปีละ 10,000 ล้านบาท ภายในวงเงินรวม 50,000 ล้านบาท