นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า สภาวะเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันที่มีสภาพคล่องในระบบสูง อัตราดอกเบี้ยต่ำ น่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อการขยายตัวของภาคธุรกิจ ดังนั้น จึงคาดว่าการบริโภคในประเทศน่าจะฟื้นตัวได้ในช่วงไตรมาส 4/50 ถึงต้นปี 51 ซึ่งจะสนับสนุนให้การขยายตัวของสินเชื่อสถาบันการเงินเร่งตัวขึ้น และแรงกดดันต่อปัญหาหนี้เสีย(NPL)ก็จะลดลงด้วย
ประกอบกับ sentimentบาทที่แข็งจะทำให้ต้นทุนในการนำเข้าสินค้าทุนจากต่างประเทศลดลง ก็น่าจะเป็นผลดีต่อประเทศ เพราะประเทศไทยยังต้องอาศัยการนำเข้าสินค้าทุนในการผลิตเพื่อส่งออก
"ตอนนี้สภาพคล่องการเงินในระบบไม่มีปัญหาอะไร เพราะมีอยู่สูงมาก"นายบัณฑิต กล่าว
นายบัณฑิต มองว่าแนวโน้มดอกเบี้ยเงินกู้ก็จะปรับลดลงได้อีกนับจากนี้ไป เนื่องจากตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ธนาคารพาณิชย์มีการลดดอกเบี้ยเงินกู้ในระบบเฉลี่ย 0.15% ขณะที่เงินฝากปรับลดลงไปมากกว่านั้น
อย่างไรก็ตาม เรื่องของความเชื่อมั่นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังดี ถ้าความเชื่อมั่นกลับมาเร่งตัวได้ การใช้จ่ายในประเทศก็จะเร่งตัวขึ้น
ส่วนการกันสำรอง IAS39 นั้น นายบัณฑิต กล่าวว่า ไม่ได้กระทบทำให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อน้อยลง เพราะทางธปท.ได้ประกาศมานานแล้ว เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์เตรียมตัว ไม่น่าจะเป็นปัจจัยในการจำกัดให้ปล่อยกู้น้อยลง แต่ข้อจำกัด คือ ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจมากกว่าว่าจะกู้หรือไม่กู้
นายบัณฑิต ยังกล่าวถึงการอนุญาตให้เปิดบัญชีเงินฝากเป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการแก้ไขปัญหาบาทแข็งค่าว่า ไม่น่าจะทำให้เกิดการเก็งกำไรค่าเงินบาท เนื่องจากเน้นให้เกิดความคล่องตัวเป็นหลัก อีกทั้งขนาดของบัญชีก็มีขนาดเล็ก และมีข้อจำกัดเรื่องวงเงินอย่างชัดเจน
"การที่ธปท.เปิดให้เพื่อความคล่องตัวและการบริหารเงินสดของธุรกิจมากกว่า เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะโยกเงินบาทไปเป็นดอลลาร์ก็มีความจำกัดด้วย เพราะว่าความต้องการเงินบาทในการดำเนินกธุรกิจยังมีอยู่มากกว่าดอลลาร์" รองผู้ว่าธปท.กล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย ธปฦ/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--