"Weekly Highlight" สัปดาห์นี้ (20-24 เม.ย.2563) จะมาเจาะลึกกับข่าวสารสำคัญ ในรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 20 เมษายน 2563
เริ่มต้นกับการสรุปภาพรวมตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่แล้ว (13-17 เม.ย.2563) SET INDEX ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 0.9% จากสัปดาห์ก่อน เช่นเดียวกับดัชนี SET 100 เพิ่มขึ้น 0.6% สำหรับกลุ่มหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ กลุ่มกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เพิ่มขึ้น 6.6% กลุ่มปิโตรเคมี เพิ่มขึ้น 4.2% และกลุ่มขนส่ง เพิ่มขึ้น 3.7%
แม้ว่าบรรยากาศการลงทุนยังถูกปกคลุมไปด้วยความกังวลกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่เสี่ยงทรุดตัวอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 หลังจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ออกมาคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับภาวะถดถอยอย่างรุนแรงที่สุดในรอบ 100 ปี สร้างความเสียหายต่อเศรษฐโลกเป็นมูลค่าสูงถึง 9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
แต่จากกระแสข่าวการพัฒนาวัคซีน และจำนวนของผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีสัญญาณชะลอตัวในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย เป็นส่วนช่วยสนับสนุนบรรยากาศการลงทุนให้ผ่อนคลายมากขึ้น และในสัปดาห์นี้อาจเห็นรัฐบาลไทยตัดสินใจเริ่มผ่อนปรนมาตรการ Lockdown บางส่วน โดยในวันที่ 20 เม.ย.ต้องติดตามผลการหารือของหน่วยงานรัฐบาลและเอกชนเกี่ยวกับแผนรีสตาร์ทธุรกิจก่อนนำเสนอให้กับนายกรัฐมนตรีพิจารณาในวันอังคารที่ 21 เม.ย.นี้
ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 รายงานสถานการณ์ล่าสุดวานนี้ 19 เม.ย.พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งสิ้น 32 ราย ส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยสะสมรวมทั้งสิ้น 2,765 รายจาก 68 จังหวัด ส่วนผู้ที่รักษาหายแล้วมีจำนวน 1,928 ราย และไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น
สำหรับยอดรวมผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกขณะนี้เพิ่มขึ้นมากกว่า 2,330,000 ราย มียอดผู้เสียชีวิตรวมทั่วโลกกว่า 160,000 ราย ขณะที่ประเทศสหรัฐฯ ยังคงรั้งอันดับหนึ่งที่พบผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลก
นักวิเคราะห์หลายสำนัก ประเมินแนวโน้ม SET INDEX รอบสัปดาห์นี้ มีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวน ประเมินกรอบแนวต้าน 1,250 จุด และแนวรับสำคัญ 1,200 จุด แม้ว่าอาจจะมีประเด็นบวกจากแนวโน้มผ่อนปรนมาตรการ Lockdown บางส่วน แต่สิ่งที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดคือผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาสแรกที่จะเริ่มประกาศในสัปดาห์นี้ นำร่องโดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ก่อนจะถึงคิวของหุ้นกลุ่ม Real Sector ในสัปดาห์ถัดไป เบื้องต้นประเมินกันว่าผลกระทบการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 จะบั่นทอนกำไรบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 1/63 ต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 2/63
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์กำไรสุทธิของระบบธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในไทยในไตรมาส 1/63 จะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ไตรมาสหรือรอบ 2 ปี โดยคาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 1/63 จะอยู่ที่ 3.79-3.95 หมื่นล้านบาท (ประเมินจากข้อมูลตามมาตรฐานบัญชีเดิมก่อน TFRS9) ลดลงประมาณ 25-28% YoY เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/62 โดยเป็นผลมาจากฐานเปรียบเทียบที่สูงของช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งมีการบันทึกรายการกำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุน และกำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profits) ที่ลดลงในอัตราตัวเลขสองหลัก ทั้งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
ทั้งนี้ แม้กำไรของระบบธนาคารพาณิชย์ของไทยจะลดลง แต่เงินกองทุนของระบบธนาคารยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง และมีอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับกระแสเงินสดที่อาจไหลออกในภาวะวิกฤต (LCR) ที่สูงถึง 175.28% พร้อมกันนี้ยังคาดการณ์ในเบื้องต้นว่ากำไรสุทธิไตรมาส 2/63 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะลดลงมากกว่า 50% YoY
ด้านกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทสำหรับสัปดาห์นี้เคลื่อนไหวอยู่ที่ 32.30-32.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญต้องติดตามในสัปดาห์นี้คือตัวเลขส่งออกของไทยเดือน มี.ค.และการทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/63 ของบริษัทจดทะเบียนไทย สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงความคืบหน้าของการเปิดเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดขายบ้านใหม่ ยอดขายบ้านมือสอง และยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือน มี.ค.รวมถึงดัชนี PMI Composite (เบื้องต้น) เดือน เม.ย. ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ ดัชนี PMI Composite (เบื้องต้น) เดือน เม.ย. ของยูโรโซนและญี่ปุ่น
ขณะที่กระทรวงการคลังของไทยรายงานว่า วันที่ 20 เม.ย.ตั้งแต่เวลา 6.00 น. เป็นต้นไป จะเริ่มเปิดให้ผู้ที่ไม่ผ่านเกณฑ์การคัดกรองมาตรการเยียวยา 5,000 บาทขอทบทวนสิทธิได้ที่ www.เราไม่ทิ้งกัน.com โดยจะเปิดผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้นเพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งต่อตัวผู้ประสงค์จะขอทบทวนสิทธิเองและต่อส่วนรวมของสังคมไทย
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 8 เม.ย.เป็นต้นมาได้มีการจ่ายเงินเยียวยา 5,000 บาท ต่อเนื่องทุกวัน (ยกเว้นวันหยุดราชการ) โดยณ วันที่ 17 เม.ย. ได้จ่ายเงินให้ผู้ลงทะเบียนไปแล้ว 3.2 ล้านคน และมีกำหนดจะจ่ายเงินในวันจันทร์และอังคารสัปดาห์หน้าอีก 900,000 คน รวมเป็น 4.1 ล้านคน คิดเป็นเงินกว่า 20,000 ล้านบาท
https://youtu.be/iZJhB5wF0MU