ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ยังคงประมาณการเดิมว่า การส่งออกไทยในปีนี้อาจติดลบถึง -8.6% เนื่องจากยังต้องเตรียมรับแรงปะทะระลอกใหม่ โดยเฉพาะในไตรมาส 2 ของปี 63 หลังสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศคู่ค้าหลักอย่างสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่นยังคงน่าเป็นห่วง จากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ของประเทศในกลุ่มนี้มีมากถึง 81.4% ของตัวเลขผู้ติดเชื้อทั่วโลก จนต้องยกระดับมาตรการปิดเมืองและ Social Distancing ในหลายประเทศตั้งแต่ช่วงปลายเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ต้องเผชิญกับผลกระทบดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับจีน
ดังนั้นไทยซึ่งพึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดเหล่านี้สูงถึง 32.4% ทำให้ภาพสะท้อนที่รุนแรงของโควิด-19 น่าจะเริ่มเห็นผลกระทบชัดเจนขึ้นในไตรมาส 2 และหากยังไม่สามารถหาบทสรุปได้โดยเร็ว ก็จะยิ่งส่งผลกระทบต่อภาพรวมการค้าโลกและส่งออกไทยรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และจะกลายเป็นโจทย์ที่ท้าทายธุรกิจไทยจากนี้ไป
อย่างไรก็ดี มาตรการ Social Distancing ที่คาดว่าจะต้องดำเนินต่อไปอีกระยะ แม้จะสามารถควบคุมสถานการณ์โรคระบาดได้แล้ว จะกลายเป็นแรงหนุนสำคัญสำหรับบางธุรกิจ เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เป็นต้น
สำหรับมูลค่าส่งออกของไทยเดือน มี.ค.63 ที่เป็นบวกมาจากการส่งออกทองคำเป็นหลัก โดยส่งออกในรูปดอลลาร์ฯ ขยายตัวถึง 4.17% แต่หากหักทองคำจะขยายตัวเพียง 0.5% ขณะที่การส่งออกไปจีนช่วงเวลาเดียวกันกลับหดตัวถึง 4.8% จากมาตรการปิดเมืองที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปลายเดือน ม.ค. เพื่อควบคุมโรคโควิด-19 ซึ่งเหล่านี้เป็นเพียงผลกระทบจากการชัดดาวน์เมืองหลักในจีนเท่านั้น ทำให้ภาคการผลิตของไทยยังคงน่าเป็นห่วงในระยะต่อไป
ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS วิเคราะห์ว่า แม้สถานการณ์โรคโควิด-19 ในไทยดูจะมีสัญญาณที่ดีขึ้นกว่าหลายๆ ประเทศ แต่จากการรายงานล่าสุดของทั้ง IMF และ World Bank กลับมองสอดคล้องกันว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้อาจเจ็บหนักสุดในอาเซียน ซึ่งสะท้อนถึงผลกระทบที่รุนแรงกว่าทุกประเทศ เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับภาคการท่องเที่ยวและส่งออกสูงถึงเกือบ 70% ตลอดจนการดูดซับแรงงานไปสู่ภาคเกษตรก็ทำได้ยากในช่วงวิกฤตภัยแล้งเช่นนี้ โดย Krungthai COMPASS คาดว่าส่งออกไทยปีนี้จะติดลบ 8.6% พร้อมทั้งประเมิน 3 แรงกระเพื่อมหลักจากโควิด-19 ต่อการส่งออกในระยะต่อไป ดังต่อไปนี้
1.ดีมานด์จากจีนชะลอตัวจากเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวช้ากว่าช่วงวิกฤตโรคซาร์ส แม้จีนจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว แต่ความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดระลอก 2 ยังมีอยู่ ประกอบกับเศรษฐกิจจีนที่เริ่มขยายตัวชะลอลงมาตั้งแต่ปี 2011 ทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอาจไม่รวดเร็วดังเช่นช่วงที่เกิดซาร์สที่จีดีพีจีนขยายตัวสูง
2.เศรษฐกิจและการค้าโลกดิ่งลึกจากมาตรการ Lockdown และ Social Distancing ซึ่งทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหลายแห่งทั่วโลกทั้งภาคการผลิต การท่องเที่ยว การบริโภคในประเทศรวมถึงการจ้างงานแทบจะเรียกได้ว่า "หยุดกะทันหัน" โดยคาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจโลกปี 2020 อาจติดลบถึง 3% (ข้อมูลจาก IMF) และมีโอกาสที่จะดิ่งลึกลงไปอีก หากยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดได้
ขณะที่รายงานจาก WTO เดือน เม.ย. ก็ได้ประเมินว่า มูลค่าการค้าโลกจะหดตัวมากถึง 13-32% ซึ่งรุนแรงกว่าเมื่อเทียบกับช่วงวิกฤตการเงินโลกในปี 2009 ที่หดตัว 12.5% และย่อมส่งผลต่อภาพรวมการค้าของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ อุปสงค์น้ำมันดิบที่ลดลง สวนทางกับอุปทานที่พุ่งพรวด ยิ่งทำให้ส่งออกไทยตกที่นั่งลำบาก
3.โควิด-19 ทำให้ภาพ Global Supply Chain ในระยะข้างหน้าเปลี่ยนไป ในช่วง 20 ปี โดยที่ผ่านมา จีนมีบทบาทสำคัญต่อ Global Value Chain ในแง่ "ผู้ผลิตและส่งออกสินค้าขั้นกลางของโลก" โดยมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากในปี 2002 ที่ระดับ 4% เป็น 20% ของมูลค่าการค้าสินค้าขั้นกลางทั่วโลกในปัจจุบัน
การอุบัติขึ้นของโควิด-19 ทำให้คลื่นลูกแรกกระทบโรงงานอุตสาหกรรมในอู่ฮั่นของจีน ซึ่งนับรวมถึงเครือข่ายอุตสาหกรรมการผลิตของจีนในอาเซียน ก่อนที่คลื่นลูกที่สองจะลุกลามไปยังเกาหลีใต้และญี่ปุ่นจนทำให้สายพานการผลิตในกลุ่มสินค้าไฮเทคและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต้องหยุดชะงัก ขณะที่คลื่นลูกที่สามได้ถาโถมไปทางฝั่งสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งถือเป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าขั้นสุดท้ายที่มีมูลค่าสูง อาทิ เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า และรถยนต์
"เราอาจเห็น Trade Protectionism หรือ การกีดกันทางการค้าที่รุนแรงขึ้น เช่น การตั้งกำแพงภาษีนำเข้าที่เข้มข้นขึ้น การจำกัดการส่งออกสินค้าจำเป็นบางประเภทเพื่อรองรับความต้องการภายในประเทศเป็นหลัก ซึ่งจะทำให้การเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานและการค้าโลกลดลงหลังวิกฤตโควิด-19 และย่อมเพิ่มอุปสรรคให้ภาคการส่งออกไทยมากยิ่งขึ้น" บทวิเคราะห์ระบุ