กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) เผยมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 32.25-32.65 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับระดับปิดแข็งค่าที่ 32.45 บาท/ดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยมูลค่า 1.66 หมื่นล้านบาท แต่ซื้อพันธบัตรสุทธิ 7.3 พันล้านบาท
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ฯ มองว่า ตลาดจะให้ความสนใจกับผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ), ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) และธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี) ในสัปดาห์นี้ โดยคาดว่าอาจมีการส่งสัญญาณเตรียมพร้อมสำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหากจำเป็น แม้ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาธนาคารกลางหลักทั่วโลกได้ก้าวเข้าสู่การใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
นอกจากนี้ นักลงทุนจะจับตาแนวทางการกลับมาทยอยเปิดเศรษฐกิจอีกครั้งของบางประเทศในยุโรปและบางเมืองในสหรัฐฯ เราประเมินว่าตลาดจะยังคงระมัดระวังและแม้ความผันผวนเริ่มลดลงแต่บรรยากาศการลงทุนที่เปราะบางจะจำกัดการอ่อนค่าของดอลลาร์และเยน หลังจากความปั่นป่วนในตลาดน้ำมันหนุนความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่ตลาดเปิดรับความเสี่ยงอีกครั้ง หลังสหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมายมูลค่า 4.84 แสนล้านดอลลาร์เพื่อบรรเทาความเสียหายจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส
สำหรับปัจจัยในประเทศ ทิศทางค่าเงินบาทยังขึ้นอยู่กับความต่อเนื่องของการกลับเข้ามาซื้อพันธบัตรไทยจากนักลงทุนต่างชาติและฤดูกาลจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนเช่นกัน ส่วนแนวทางปลดล็อกดาวน์ยังคงต้องพิจารณาควบคู่ไปกับการดูแลอย่างเข้มข้นทั้งมิติด้านสาธารณสุข สังคม รวมถึงระบบการเงิน
ด้านกระทรวงพาณิชย์รายงานยอดส่งออกเดือน มี.ค.เติบโต 4.17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 8 เดือน ขณะที่นำเข้าเพิ่มขึ้น 7.25% ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้า 1.59 พันล้านดอลลาร์ ข้อมูลดังกล่าวสดใสเกินคาด ขณะที่การส่งออกไปสหรัฐฯ บางส่วนสะท้อนการส่งคืนยานพาหนะและอาวุธซ้อมรบ อีกทั้งการเติบโตของมูลค่าส่งออกรวมเป็นผลจากทองคำและสินค้าที่ได้รับความต้องการสูงในช่วงการเว้นระยะห่างทางสังคม อาทิ อิเล็กทรอนิกส์ และอาหาร
นอกจากนี้ตลาดยังจับตาท่าทีของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หลังรัฐบาลกล่าวว่าได้มอบหมายให้ธปท. ดูแลค่าเงินบาทให้มีความได้เปรียบด้านการส่งออก ส่วนในเดือน มิ.ย.คาดว่ารัฐบาลจะมีมาตรการชุดใหม่ซึ่งเน้นการบริโภคภายในประเทศ