นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมหาแนวทางการส่งเสริมอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนท์ไทยสู่ตลาดโลก โดยระบุว่า เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและติดตามสถานการณ์ของภาคธุรกิจบริการ ซึ่งถือว่าเป็นภาคธุรกิจที่ใหญ่มากภาคหนึ่งของประเทศ คือ ธุรกิจดิจิทัลคอนเทนท์ หรือธุรกิจเกี่ยวกับภาพยนตร์แอนิเมชั่น รวมทั้งการทำโฆษณา เพลง เกม การ์ตูนในหลากหลายรูปแบบต่างๆ
ปัจจุบัน มูลค่าของธุรกิจกลุ่มนี้ของไทยรวมกันในแต่ละปีอยู่ที่ประมาณ 110,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่ามีมูลค่าสูงมาก และเป็นไปตามที่กระทรวงพาณิชย์มีนโยบายที่สนับสนุนให้ภาคธุรกิจบริการกลุ่มนี้เติบโตต่อไปในอนาคต เพราะยังมีตลาดทั้งในประเทศและตลาดต่างประเทศรองรับอีกมาก
นายจุรินทร์ กล่าวว่า จากการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับ 6 สมาคมที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย สมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ, สมาคมดิจิตอลคอนเทนท์ไทย, สมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชั่นและคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ไทย, สมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เกมส์ไทย, สมาคมอีเลิร์นนิงแห่งประเทศไทย และสมาคม Bangkok ACM SIGGRAPH Association ทุกสมาคมต่างเห็นร่วมกันว่ากระทรวงพาณิชย์จะเข้ามามีส่วนร่วมสำคัญในการช่วยสนับสนุนให้ภาคธุรกิจนี้เติบโตต่อไปในอนาคตได้ โดยเตรียมมาตรการทั้งหมด 4 เรื่อง ดังนี้
1.ช่วยกันสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลคอนเทนท์ไทยแลนด์ขึ้น เพื่อเป็นศูนย์รวมข้อมูลและศูนย์รวมการทำธุรกิจภาพยนตร์-ละครแอนิเมชั่น อีสปอร์ต เพลง หรือธุรกิจการ์ตูนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งในเรื่องของการศึกษา หรือ e-learning ทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศ
2.ปรับรูปแบบของการจัดนิทรรศการ จากเดิมที่เคยใช้กระบวนการจับคู่ธุรกิจให้ผู้ซื้อจากต่างประเทศเดินทางมาพบกับผู้ขายหรือผู้ผลิตดิจิทัลคอนเทนท์ในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยจะปรับเปลี่ยนไปในรูปแบบการจับคู่ธุรกิจออนไลน์ให้มากขึ้น ทั้งส่งเสริมตลาดในประเทศและส่งเสริมตลาดในต่างประเทศ โดยจะจัดให้ถี่ขึ้นและโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้ธุรกิจนี้เติบโตได้เร็วขึ้น
3.การช่วยต่อลมหายใจให้กับธุรกิจดิจิทัลคอนเทนท์ของประเทศไทย เนื่องจากขณะนี้เผชิญกับสถานการณ์โควิด ทำให้หลายภาคส่วนติดขัดในเรื่องของการทำธุรกิจ ดังนั้นจะช่วยดำเนินการให้ธนาคารของประเทศไทย (ธปท.) ช่วยสนับสนุนในรูปของเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ
4. สำหรับธุรกิจดิจิทัลคอนเทนท์ของไทยที่มีความจำเป็นจะต้องสร้างแบรนด์ของคนไทยขึ้นมาเอง เพื่อแทนที่การรับจ้างผลิตเหมือนกับในอดีตที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์จะเข้ามาร่วมมือกับทั้ง 6 สมาคมในการจัดเวทีให้ภาคการผลิตของทั้ง 6 สมาคมได้มีโอกาสพบกับนักลงทุนต่างประเทศ และหน่วยงานภาครัฐที่มีนโยบายสนับสนุนการทำธุรกิจคอนเทนท์ รวมทั้งในส่วนของกระทรวงพาณิชย์เองด้วย เพื่อให้มีการจับคู่ลงทุนในธุรกิจนี้ภายใต้แบรนด์ของคนไทยได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ในช่วงวันที่ 25-27 พ.ค.นี้ กระทรวงพาณิชย์จะทำ 2 กิจกรรมสำคัญ เพื่อสนับสนุนธุรกิจดิจิทัลคอนเทนท์ ประกอบด้วย 1.การจัดงานแสดงสินค้าที่ใช้ชื่อว่า M.O.V.E หรือย่อมาจาก Multimedia Online Virtual Exhibition ในรูปแบบของการจัดจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ผลิตของประเทศไทยประมาณ 50 บริษัทพบปะกับผู้ซื้อจากต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจะมีผู้เข้ามาร่วมไม่ต่ำกว่า 1,000 รายในรูปแบบออนไลน์ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์โควิด และคาดว่าจะสามารถทำให้เกิดการจับคู่ซื้อขายทางธุรกิจได้ประมาณ 350 คู่ และสามารถกำหนดยอดขายได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท
2. การจัดสัมมนาแลกเปลี่ยนข้อมูลและความคิดเห็น ทั้งในรูปแบบของการให้ความรู้ในการใช้ความคิดสร้างสรรค์จากประสบการณ์ของคนไทยที่ไปทำงานอยู่ที่แหล่งผลิตดิจิทัลคอนเทนท์ที่มีชื่อเสียงของโลก เช่น วอลท์ดิสนีย์ หรือมาร์เวล เป็นต้น เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเทคนิคใหม่ใหม่ๆ ให้ได้รับความรู้เพิ่มเติม ซึ่งจะได้นำมาพัฒนาดิจิทัลคอนเทนท์ให้ดีขึ้นไปสำหรับคนไทย